บล็อกนี้เราจะมาพูดถึงหนึ่งใน Movie Attraction ประจำสิ้นปีนี้ นั่นคือ Night at the Museum: Secret of the Tomb (2014) ซึ่งเป็นหนังแนวแฟนตาซี/ผจญภัย/ตลก เหมาะกับความบันเทิงช่วงเทศกาลคริสต์มาสสุดๆ แต่อย่างที่หลายคนอาจจะทราบ (หรืออาจจะยังไม่ทราบ) Night at the Museum: Secret of the Tomb ที่กำลังจะเข้าฉายในวันที่ 25 ธ.ค. 2014 นี้ เป็นหนังภาคที่ 3 แล้ว โดยภาคแรกคือ Night at the Museum ที่ฉายไปเมื่อ 2006 และภาคสองคือ Night at the Museum: Battle of the Smithsonian ฉายไปในปี 2009
เนื่องจากหนังภาคที่ 3 นี้ ห่างจากหนังก่อนหน้าถึง 5 ปีเต็ม เราจึงขอพาผู้อ่านไปทัวร์พิพิธภัณฑ์ทั้งสองภาคกันก่อน เพื่อเป็นการทบทวนสำหรับคนเคยดู อีกทั้งเป็นการสรุปรวบยอดให้คนที่ยังไม่เคยดูสองภาคแรก ก่อนจะไปดูภาค 3 กันช่วงปลายปีนี้
เรื่องย่อภาคหนึ่ง
Night at the Museum เป็นต้นกำเนิดเรื่องราวสุดมหัศจรรย์หลุดโลกในพิพิธภัณฑ์ เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ Larry Daley (Ben Stiller) พ่อม่ายลูกหนึ่งซึ่งไร้ความเสถียรภาพทางการงาน จับพลัดจับผลูมาเป็นยามกะกลางคืน (เรียกหรูๆ ว่า night watchman หรือ night security guard) ที่ American Museum of Natural History (AMNH) ของ New York City เพราะตอนนั้น Dr. McPhee (Ricky Gervais) เจ้าของพิพิธภัณฑ์กำลังจะปลดระวาง Cecil (Dick Van Dyke), Gus (Mickey Rooney), และ Reginald (Bill Cobbs) ยามแก่ๆ ทั้งสามออกพอดี
ตั้งแต่คืนแรกของการเข้ากะ Larry ได้ค้นพบความลับของพิพิธภัณฑ์ชื่อดังแห่งนี้ว่า ทุกๆ คืน หุ่นขี้ผึ้ง สัตว์สตัฟฟ์ และหุ่นโชว์ทุกตัว จะมีชีวิต! ทั้งนี้เป็นปรากฏการณ์ผิดธรรมชาติที่เกิดขึ้นทุกคืนตั้งแต่แผ่นจารึกทองคำของฟาโรห์ Akhmenrah (Rami Malek) แห่งอียิปต์ มาอยู่ที่นี่เมื่อปี 1952 (แต่ถ้าหุ่นตัวใดออกไปอยู่ข้างนอก และไม่กลับมาก่อนพระอาทิตย์ขึ้น มันจะกลายเป็นฝุ่นธุลีทันที)
ในคืนแรกนั้น Larry ต้องต่อสู้รับมือกับหุ่นแต่ละตัวอย่างยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นไดโนเสาร์ทีเร็กซ์ “Rexy”, ลิงขี้ขโมยพันธุ์ Capuchin ชื่อ Dexter, ชนเผ่า Huns ที่ดะแต่จะฉีกเนื้อคน นำโดย Atilla (Patrick Gallagher), ชนเผ่า Neanderthals ที่พิสมัยการจุดไฟ, Easter Island Head ที่ร้องหาแต่หมากฝรั่ง “gum-gum”, และหุ่นโชว์ตัวจิ๋วๆ อย่างแก๊งคาวบอย ที่นำโดย Jedediah (Owen Wilson) กับกองทัพโรมัน ที่นำโดย Octavius (Steve Coogan) แต่ยังดีที่ Larry มีหุ่นอดีตประธานาธิบดี Theodore ‘Teddy’ Roosevelt (Robin Williams) ช่วยจัดระเบียบสังคมให้
วันต่อมา Larry ทำการบ้านใหม่ ด้วยการไปเตรียมตัว หาอุปกรณ์ และศึกษาประวัติศาสตร์ของหุ่นต่างๆ เพื่อจะได้รู้จักหุ่นทุกตัวดีขึ้น (ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอีตานี่เอาเวลาตอนไหนไปนอน) โดยการหาหนังสืออ่าน และเดินตามภัณฑารักษ์สาว Rebecca Hutman (Carla Gugino) ตอนเธอกำลังบรรยายคณะทัวร์ ซึ่งทำให้เขาได้รู้จัก Rebecca มากขึ้นว่าเธอเขียนเปเปอร์เกี่ยวกับ Sacagawea (Mizuo Peck) มาเป็นเวลาสี่ปีแล้ว แต่ยังไม่สมบูรณ์สักที เพราะยังขาดข้อมูลบางอย่างที่จำเป็น
ในคืนหนึ่ง Larry อยากทำให้ Nick (Jake Cherry) ลูกชายวัยสิบขวบของเขาประทับใจ จึงพา Nick มาเที่ยวพิพิธภัณฑ์ในตอนกลางคืน ซึ่งคืนนั้นเป็นคืนที่ยามเก่ายามแก่ทั้งสามคนกำลังขโมยแผ่นจารึกทองคำและของมีค่าต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์พอดี จึงเกิดการต่อสู้ขึ้น และไล่จับกันใน Central Park
Larry กับกองทัพหุ่นขี้ผึ้งช่วยกันจับโจรแก่ทั้งสามได้ และ Larry ยังโทรให้ Rebecca กลับมาที่พิพิธภัณฑ์ก่อนอรุณเบิกฟ้า เพื่อแนะนำให้ Rebecca ได้รู้จักและสัมภาษณ์ Sacagawea (ซึ่งเพิ่งได้ยกระดับเป็นแฟนใหม่ประธานาธิบดี Teddy หมาดๆ)
วันต่อมา มีข่าวเผยแพร่ไปทั่วนิวยอร์กถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพิพิธภัณฑ์ เช่น ภาพวาดผนังถ้ำในสถานีรถไฟใต้ดิน รอยเท้าทีเร็กซ์ ฯลฯ จึงทำให้ American Museum of Natural History กลับมาบูมอีกครั้ง
เรื่องย่อภาคสอง
2-3 ปีต่อมา Shawn Levy ผู้กำกับฯ Night at the Museum ปล่อยภาคต่อออกมาในชื่อว่า Night at the Museum: Battle of the Smithsonian โดยย้ายความโกลาหลจากพิพิธภัณฑ์กลางนิวยอร์ก ไปที่ Washington, D.C. แทน ส่วนนักแสดงเกือบทั้งเรื่องยังใช้คนเดิม และมีเพิ่มนักแสดงหลักใหม่เข้ามาอีกหลายตัว
ในหนังภาคสองนี้ Larry Daley ไม่ได้เป็นยามที่ American Museum of Natural History แล้ว แต่ผันตัวเองมาเป็น CEO ของบริษัท Daley Devices ที่มั่งคั่ง วันหนึ่งเขากลับไปเยี่ยมพิพิธภัณฑ์ แต่กลับพบว่ามันกำลังปิดปรับปรุง และหุ่นเกือบทั้งหมดกำลังถูกขนย้ายไป Smithsonian Institution ใน Washington, D.C. เพราะ Dr. McPhee จำเป็นต้องเอาเทคโนโลยีและความทันสมัยต่างๆ เข้ามาแทนที่ (หุ่นต่างๆ ต้อง interactive กับผู้เยี่ยมชมได้) เพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจ เว้นแต่หุ่นบางตัว เช่น ประธานาธิบดี Teddy, Rexy, Easter Island Head กัมกัม, และฟาโรห์ Akhmenrah พร้อมแผ่นจารึกทองคำ ที่ยังคงอยู่ที่เดิม
หลังจากถูกขนย้าย คาวบอยจิ๋ว Jedediah โทรหา Larry ว่าเจ้าลิง Dexter ขโมยเอาแผ่นจารึกทองคำมาด้วย แล้วพวกเขากำลังถูกฟาโรห์ Kahmunrah (Hank Azaria) ซึ่งเป็นพี่ชายของฟาโรห์ Akhmenrah คุกคามแย่งชิงแผ่นจารึกนั่น เพราะอานุภาพของแผ่นจารึกสามารถใช้ปลุกกองทัพนรกของฟาโรห์จากอเวจีขึ้นมาได้ด้วย
Larry เดินทางมา Washington D.C. เพื่อช่วยเพื่อนๆ และป้องกันแผ่นจารึกทองคำจากฟาโรห์ชั่วร้าย เมื่อเขามาถึง เขาสำรวจ National Air and Space Museum, National Gallery of Art, และ Smithsonian Institution Building เพื่อหาทางเข้าไปช่วยเพื่อนๆ โดยมี Nick ลูกชายของเขา ช่วยหาทางเข้าไปยังห้องเก็บหุ่นทั้งหลายผ่านทางออนไลน์
ขณะที่กำลังหลบหนีการไล่ล่าของฟาโรห์และลูกสมุนวายร้ายในตำนาน อันประกอบด้วย Napoleon Bonaparte (Alain Chabat), Ivan the Terrible (Christopher Guest) และ Al Capone (Jon Bernthal) Larry ได้รับการช่วยเหลือจาก General George Armstrong Custer (Bill Hader) และนักบินหญิงขาลุย Amelia Earhart (Amy Adams)
Larry กับ Amelia หนีหัวซุกหัวซุนเข้าไปในภาพขาวดำ V–J day in Times Square และได้รับการช่วยเหลือจากกะลาสีเรือชื่อ Joey Motorola (Jay Baruchel) แต่สุดท้าย Larry ก็ถูกจับตัวไปจนได้ ฟาโรห์สั่งให้ Larry ไปหารหัสแผ่นจารึกมาภายใน 1 ช.ม. โดยจับ Jedediah ใส่ไว้ในโหลนาฬิกาทรายเป็นตัวประกัน
Larry กับ Amelia เดินไป Air and Space museum เพื่อหา Albert Einstein (Eugene Levy) ให้ช่วยถอดรหัสให้ แต่ฟาโรห์ Kahmunrah คิดว่า Larry กำลังพยายามหนี จึงสั่งลูกกะจ๊อกไปตามฆ่า Larry และชิงแผ่นจารึกกลับมา เมื่อได้รหัสจาก Einstein ทั้งสองก็รีบหนีออกมาด้วยเครื่องบินลำแรกของโลกที่ประดิษฐ์โดยสองพี่น้องตระกูล Wright และการช่วยเหลือของเหล่านักบินในนั้น
Larry กลับมาหาฟาโรห์ ส่วน Amelia แอบหนีกลับไปหากองหนุน (แก๊งหุ่นขี้ผึ้งนิวยอร์ก) จากชั้นใต้ดิน ฟาโรห์เปิดประตูนรกได้และเรียกกองทัพ Horus (ทหารที่ครึ่งคนครึ่งนก) กลับมาสู่มนุษย์ภูมิ แต่กองทัพเหล่านั้นถูก รูปปั้นยักษ์ Abraham Lincoln ขับไล่กระเจิงกลับบ้านเก่ากันไปหมด
สงครามระหว่างทีม Larry กับทีมฟาโรห์เริ่มขึ้น Octavius ช่วยดูโอออกมาจากนาฬิกาทรายและรบร่วมกันอย่างหาญกล้า Larry กับ Amelia ร่วมมือกันกำจัดฟาโรห์และลูกสมุนสำเร็จ สงครามจบสิ้น Amelia ขับเครื่องบินพา Larry และเพื่อนๆ กลับนิวยอร์กก่อนที่เธอจะบินไปแคนาดา (ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเธอจะกลายเป็นเถ้าถ่านทันทีที่ตะวันขึ้น)
Larry ขายบริษัทและบริจาคเงินจำนวนมากให้ American Museum of Natural History เพื่อบูรณะฟื้นฟูใหม่โดยไม่ต้องทำลายหุ่นขี้ผึ้งชุดออริจินัล ต่อมาพิพิธภัณฑ์เปิดให้บริการในตอนกลางคืนในรูปแบบที่หุ่นทุกตัวมีชีวิต ซึ่งประชาชนเข้าใจว่าเป็นเทคโนโลยี “animatronics” ของทางพิพิธภัณฑ์ และ Larry ก็กลับมาเป็นยามทำในสิ่งที่เขารักกับเพื่อนๆ ที่เขารักเหมือนเดิม อีกทั้งยังได้ปิ๊งๆ กับนักท่องเที่ยวหญิงชื่อ Tess ที่หน้าตาละม้ายคล้ายกับ Amelia ราวกับคนเดียวกัน
รีวิวหรือวิจารณ์หนังสองภาคแรกโดยสรุป
โดยส่วนตัว เราชอบภาคแรกมากกว่าภาคที่สอง รู้สึกประทับใจมากกว่าและมีฉากที่น่าจดจำมากกว่า ในภาคสองนั้น หนังค่อนข้างยำเละจนรู้สึกล้นๆ มั่วซั่ว และตัวละครแต่ละตัวก็พล่ามมากไปหน่อย แถมตัวละครยังขาดเสน่ห์หรือกิมมิคความเป็นหุ่นขี้ผึ้งที่หนังภาคแรกทำไว้ กล่าวคือ ในภาคสองนี้ พวกหุ่นจะเป็นคนแทบทั้งเรื่อง แล้วมันทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนกำลังดูคนบ้าใส่ชุดประหลาดๆ ตีกันอยู่ในโกดังพิพิธภัณฑ์มากกว่า แต่รวมๆ ก็ดูเอาบันเทิงได้เหมือนกัน ถ้าไม่คิดอะไรมาก
หนังภาคแรก สาระอยู่ที่ต้องการจะสื่อถึงความสัมพันธ์พ่อลูก พ่อ… ที่ต้องการพิสูจน์ตัวเองและทำตัวเองให้เป็นยอดมนุษย์พ่อที่ลูกชายภูมิใจ ส่วนภาคสอง สาระไม่เน้นพ่อลูกอีกแล้ว (ลูกแทบไร้บทบาท) แต่ไปเน้นถึงการทำในสิ่งที่รักแทน ถ่ายทอดผ่าน Larry ที่ละทิ้งอาชีพยามกะกลางคืน ไปเป็น CEO บริษัทใหญ่ของประเทศ
หนังภาคสองพยายามคงฉากมุกตลกของภาคแรกไว้บางฉาก เช่น ฉากคนตบหน้ากับลิง (จริงๆ เราไม่ตลกฉากนี้นะ นึกถึงตลกคาเฟ่ที่ชอบเอาถาดฟาดกันป้าบๆ มากกว่า) ฉากกัมกัมดัมดัม และฉากวีรบุรุษของมนุษย์จิ๋ว (ที่สลับไปสลับมา ระหว่างเบื้องหน้าที่มนุษย์จิ๋วต่อสู้สุดพลังพร้อมซาวด์เอฟเฟ็กต์ยิ่งใหญ่อลังการ กับเบื้องหลังที่เป็นฉากกว้างๆ ไกลๆ ซึ่งเงียบสงัดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น)
เรื่องย่อภาคสาม (ที่กำลังเข้าโรงปลายปี 2014)
ในภาคจบของหนังไตรภาคนี้ เป็นช่วงเวลาที่พลังอำนาจของแผ่นจารึกทองคำกำลังเสื่อมลงๆ Larry กับลูกชายของเขา (Nick โตเป็นหนุ่มแล้ว แสดงโดย Skyler Gisondo จาก The Amazing Spider-Man และ The Amazing Spider-Man 2) จึงร่วมมือกับหุ่นขี้ผึ้งชุดเก่า เพื่อทำอะไรอย่างก่อนที่พลังวิเศษนั้นจะดับสลายไป
ในหนังภาคนี้ ตัวละครเก่ากลับมาครบแทบทุกตัว (แต่ไม่มี Amy Adams) ทั้งยังมีตัวละครใหม่เพิ่มมาสร้างสีสันอีก เช่น Dan Stevens, Ben Kingsley, Rebel Wilson และความพิเศษอย่างหนึ่งของหนังภาคจบนี้คือ เป็นหนังเรื่องสุดท้ายที่ Robin Williams แสดงไว้ก่อนตาย
Night at the Museum: Secret of the Tomb หนังเต็มๆ 97 นาที เข้าฉายในไทย 25 ธ.ค. 2014 นี้
36 comments