ภาพยนตร์ลำดับที่ 9 ของ Quentin Tarantino (ผู้กำกับ The Hateful Eight, Inglourious Basterds, Django Unchained, Kill Bill ฯลฯ) ชื่อว่า Once Upon a Time . . . in Hollywood ซึ่งชื่อเสมือนเป็นหนังภาคหนึ่งในตระกูล Once Upon a Time in the West (1968) และ Once Upon a Time in America (1984) ของผู้กำกับ Sergio Leone แต่ไม่ใช่…
อย่างไรก็ตาม Quentin Tarantino ชอบทำหนังที่เหมือนเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ในแบบที่เขาต้องการ โดยเรื่องนี้เขาเอาประวัติศาสตร์การเมืองและประวัติศาสตร์ฮอลลีวู้ดในยุคนั้น ๆ มาเป็นแบ็คกราวนด์ของสตอรี่ของเขาเอง ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ จะไม่ตรงกับเรื่องจริงซะทีเดียว แต่ก็เหมือนจริงมากทีเดียว

Once Upon a Time . . . in Hollywood พาเราย้อนกลับไปในปี 1969 ซึ่งเป็นปีแห่งการเปลี่ยนผ่านของวงการ และมี Rick Dalton (Leonardo DiCaprio) โด่งดังจากบทนำในซีรีส์คาวบอยทางโทรทัศน์เรื่อง Bounty Law แต่หลังจากซีรีส์ถูกปิดตัวลง และยุคทองของคาวบอยกำลังจะสิ้นสุดลง เขาก็ถูกลดบทบาทมาเป็นเพียงตัวร้ายทั่วไป ส่วนสตั๊นท์แมนประจำตัวและเพื่อนรักคนเดียวของเขา Cliff Booth (Brad Pitt) ก็ไม่ค่อยได้รับงานสตั๊นท์แล้ว จึงต้องมาทำงานเป็นสารถีให้เพื่อนรักไปวัน ๆ แทน
Cliff ขับรถปุโรทั่งเก่า ๆ และอาศัยอยู่ในรถเทรลเลอร์กับ Brandy หมาสุดที่รักของเขา ส่วน Rick นั้น ถึงแม้จะเป็นช่วงขาลง แต่ก็ยังพอได้รับการว่าจ้างงานแสดงอยู่ จึงยังมีรถหรูขับและอาศัยอยู่ในบ้านหรูใน Hollywood Hills ติดกับบ้านของผู้กำกับคนดัง Roman Polanski (Rafal Zawierucha) ซึ่งอาศัยอยู่กับภรรยา นางเอกสาวดาวรุ่ง Sharon Tate (Margot Robbie)
ดูโอ Rick & Cliff เป็นตัวละครสมมติในจินตนาการของ Quentin Tarantino แต่นางเอก Sharon Tate เคยมีตัวตนจริง ๆ ถ้าใครเกิดทัน หรือเคยดูข่าวคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญสั่นวงการฮอลลีวู้ด ก็คงจะพอคุ้นกับคดี Tate Murders เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 1969 อยู่บ้างเพราะเคสค่อนข้างดัง วันนั้นเธอกับเพื่อน ๆ รวมถึงลูกในท้องแก่ของเธอ ถูกฆ่าในบ้านตัวเอง โดยกลุ่มฮิปปี้ Manson Family ที่อยู่ภายใต้การนำของ Charles Manson ซึ่งเป็นพวก racist สุดโต่ง
เราไม่มีความรู้เกี่ยวกับคดีดังกล่าว ประวัติศาสตร์ฮอลลีวู้ด หรือกระทั่งหนังเก่า ๆ ในยุคดังกล่าวอะไร แต่ก็พอรับรู้ได้ว่าผู้กำกับตั้งใจเชิดชูวงการและภาพยนตร์ในยุคนั้นประมาณหนึ่ง ด้วยความรู้น้อย อาจจะไม่อินมากเท่ากับคนที่คร่ำหวอดมามากกว่า แต่สารทั่วไปที่เราจับต้องได้ มันก็ทัชอยู่ไม่น้อยเช่นกัน และตลอดเวลาเกือบสามชั่วโมงของหนัง มันก็มีประเด็นยิบย่อยแทรกแซะมามากมาย ให้บรรยายหมดก็คงไม่หวาดไม่ไหว

แต่ที่เด่นชัดตั้งแต่ต้นเรื่องเลยคือ ความเหลื่อมล้ำในวงการ กล่าวคือ แม้ว่า Rick & Cliff จะเป็นเพื่อนกันและทำงานในวงการเดียวกัน แถมสวมบทบาทเป็นคนคนเดียวกันด้วยซ้ำ เพราะ Cliff เป็นสตั๊นท์แมนที่ต้องเล่นฉากเสี่ยง ๆ และแบกรับภาระหลายอย่างแทน Rick แต่รายได้เป็นกอบเป็นกำก็ไปตกอยู่ที่ Rick ทำให้ Rick ได้ใช้ชีวิตที่หรูหรา ในขณะที่ Cliff จะถูกสตั๊นท์แมนหน้าใหม่ที่ไหนมาแทนก็ได้ ยังไงคนก็ไม่เห็นหน้าค่าตาคนแสดงแทนอยู่แล้ว และค่าตัวก็ถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับความเสี่ยงและเมื่อเทียบกับนักแสดงจริง ๆ
ต่อมาคือ ประเด็นที่ Rick กลัวถูกลืม กลัวหมดยุค และพยายามหาทางเป็นพระเอกแถวหน้าให้ได้อีกครั้ง เขาอ่านหนังสือนิยายเกี่ยวกับฮีโร่ที่ถูกลืมและเขาก็อินกับมันมากเพราะเขาเห็นตัวเองในหนังสือเล่มนั้น อย่างไรก็ดี Leonardo เป็นนักแสดงมืออาชีพขั้นเทพ แต่ต้องมารับบทเป็นนักแสดงขี้เมา ขี้ลืมบท และห่างไกลจากคำว่าโปรเฟสชันนัล ก็ต้องบอกว่า Leo ทำได้ดีมาก ทำให้คนดูเชื่อว่าเขาคือ Rick Dalton ไม่ใช่ Leo

จุดแข็งเรื่องนี้คือ Quentin Tarantino เอาซูเปอร์สตาร์เบอร์ใหญ่สองคน อย่าง Leonardo DiCaprio กับ Brad Pitt (ซึ่งเคยรับบทนำในหนังของเขา เรื่อง Django Unchained กับ Inglourious Basterds ตามลำดับ) มารวมอยู่ในหนังเรื่องเดียวกันได้ ยังไม่รวมนางเอกผู้เคยเข้าชิงออสการ์อย่าง Margot Robbie ด้วยอีก บอกเลยว่า… แค่งบทุนสร้างเฉพาะส่วนค่าตัวนักแสดงนี่ก็ขนลุกละ เอาเป็นว่า คนดูอย่างเรา ๆ ได้เข้าไปดูแค่ดาราสามคนนี้มัดรวมกันก็คุ้มค่าตั๋วแล้วนะ
ทั้ง Leonardo DiCaprio และ Brad Pitt มีสิทธิที่จะได้เข้าชิงออสการ์ทั้งคู่ แต่คนที่มีแววจะได้รางวัลน่าจะเทไปทาง Brad Pitt มากกว่า เพราะคงได้เข้าชิงสาขาสมทบชาย ซึ่งบทของเฮียแกได้ปล่อยหมัดหนักเยอะ และมีบทบาทความสำคัญไม่น้อยหน้าบทนำของ Leo เลย (ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องรอดูคู่แข่งก่อนด้วยอีกที) ส่วนทาง Leo ในปีนี้ มีคู่แข่งสายแข็งที่น่ากลัวอยู่ โอกาสชนะออสการ์สาขานำชายค่อนข้างริบหรี่ ยากจะพลิกโผ
ส่วน Margot Robbie ในเรื่องนี้ รับบทที่ดูเหมือนจะเป็นผู้หญิงปกติที่สุดละเท่าที่เธอเล่น ๆ มาช่วงหลัง ในเรื่องนี้เธออาจจะไม่ได้มีซีนอะไรมากมาย แต่ก็มีซีนที่เธอได้โชว์ความสามารถทางการแสดงอย่างเจิดจรัสอยู่ นั่นก็คือ ซีนที่เธอไปโรงหนังและขอเข้าไปดู(ฟรี)หนังเรื่องที่เธอแสดง และก็คอยดู reaction ของคนดูในโรงที่แสดงต่อฉากของเธอ

ต้องบอกก่อนว่า ทั้งเรื่องนี่ ฝั่ง Leo กับ Brad Pitt แทบจะไม่ได้โคจรมาเจอกับบ้านของ Margot Robbie เลย ต่างคนต่างอยู่ในเส้นเรื่องของใครของมัน แม้แต่ Leo กับ Brad Pitt เอง ก็ไม่ได้ตัวติดกันตลอดเวลา มันก็มีแตกไปอีกเส้นเรื่องย่อย เช่น Leo ก็ไปอยู่กองถ่าย ส่วน Brad Pitt ก็ขับรถไปเจอกับแก๊งฮิปปี้ที่ไร่แห่งหนึ่ง แต่สุดท้าย ทุกเส้นเรื่องมันโยงกลับมาเป็นเส้นเรื่องเดียวกันได้อย่างแยบยล
ซึ่งในช่วงองก์ท้ายของหนังเป็นช่วงที่มีความชิบหายวายป่วงและเลือดสาดตามสไตล์หนังของ Quentin Tarantino อย่างรุนแรง โดยมีน้องหมาของ Cliff ขโมยซีน ได้ใจคนดู ยิ่งกว่าหมาของ John Wick แต่อย่างไรก็ตามเฮีย Brad Pitt ก็ไม่ถูกน้องหมากลบบารมีและราศีแต่อย่างใดนะ เอาเป็นว่า ช่วงท้ายของหนังนี่ต้องปรบมือดัง ๆ และหัวเราะแรง ๆ ให้ทั้งเฮีย Brad Pitt และน้องหมาของเฮียแกหนักมากเลย
หนังมีความยาว 2 ชั่วโมง 41 นาที แต่มันดูเรื่อย ๆ เพลิน ๆ ตลอดเรื่อง ส่วนหนึ่งก็เพราะผลงานการกำกับและการเขียนบทของ Quentin Tarantino เองนี่แหละ ที่จัดจ้านคมคาย จินตนาการดี เชื่อมโยงเก่ง ไดอะล็อกก็แซะเก่ง ที่สำคัญ อะไร ๆ ที่ปูไว้ ก็เอามาโยงและหยิบใช้หมดทุกเม็ดจริง ๆ เช่น หนึ่งในแรงจูงใจสุดท้ายที่กลุ่มฮิปปี้เข้าไปบุกฆ่าดารา ก็เพราะฉากความรุนแรงและการฆ่าล้างกันในหนังหรือซีรีส์ที่ Rick & Cliff ชอบเล่นนักหนาด้วยนั่นแหละ
หนังของ Quentin Tarantino ไม่ใช่หนังแมส ที่คนดูทุกคนจะเข้าถึงได้หรือชื่นชอบมัน แต่ถ้าไปดูงานกำกับที่มีสไตล์ลายเส้นชัด งานเขียนบทและไดอะล็อกที่จัดจ้าน รวมถึงฝีมือการแสดงระดับพระกาฬของเหล่านักแสดงนำ หนังเรื่อง Once Upon a Time . . . in Hollywood นี้มีทุกอย่างที่กล่าวถึงมา
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8/10
40 comments
Comments are closed.