หลายคนอาจไม่รู้จักหรือไม่ทันจะได้ให้ความสนใจกับ Predestination เท่าไหร่นัก เพราะ Predestination มาเข้าโรงที่ไทยในช่วงที่ OSCARS เพิ่งประกาศผลสดๆ ร้อนๆ ซึ่งแน่นอนว่าคนจะแห่ไปดูหนังออสการ์ในกระแสกันมากกว่า เช่น Birdman กับ Still Alice หรือไม่ก็ไปดูหนังตลาดอย่าง Fifty Shades of Grey 20+ กับ Kingsman
แต่สำหรับเรา Predestination เป็นหนังที่เรารู้จักและรอคอยมาข้ามปี เนื่องจากหนัง Time Travel หรือหนังแนวย้อนเวลา เป็นหนึ่งในแนวหนัง (genre) ที่เราชอบมากที่สุดอยู่แล้ว ตั้งแต่เรื่อง Back To The Future
Predestination เป็นหนัง sci-fi สร้างจากเรื่องสั้นของ Robert Heinlein เรื่อง “All You Zombies” (1958) กำกับฯ โดย Michael Spierig & Peter Spierig สองพี่น้องผู้กำกับฯ ชาวออสเตรเลีย ที่เคยสร้างชื่อมาแล้วจากหนังแวมไพร์ดิสโธเปียเรื่อง Daybreakers (2009)
อ่านเพิ่มเติม (OPTIONAL)
-
PDF เรื่องสั้น "All You Zombie"
-
ทฤษฎีเวลาที่คล้ายคลึง: "Predestination Paradox"
ข้อชี้แนะ: เช่นเดียวกับหนัง Time Travel และ Time Paradox เรื่องอื่นๆ อย่างเช่น Looper, Cloud Atlas, Source Code, หรือ Edge of Tomorrow คือไม่ง่ายเลยที่จะเขียนรีวิวได้โดยไม่สปอยล์เนื้อหาของหนัง อย่างไรก็ตาม เพื่อให้บล็อกนี้เป็นบล็อกที่อ่านได้ทั้งคนที่ดูหนังแล้วและคนที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่อง Predestination เราจะแบ่งเนื้อหาของบล็อกนี้เป็น 3 ส่วน ดังนี้
- เรื่องย่อของหนัง (ไม่มีเนื้อหาสปอยล์)
- รีวิว วิจารณ์ วิเคราะห์หนัง (ไม่มีเนื้อหาสปอยล์)
- อธิบายพล็อต ที่แสนงงงวยเกี่ยวกับไทม์ไลน์และตัวละคร (SPOILERS!)
เรื่องย่อ Predestination (สปอยล์เท่าๆ กับในเทรลเลอร์)
ฉากเปิดเรื่องคือ ฉากที่สายลับคนหนึ่งโดนระเบิดจนหน้าเละตุ้มเป๊ะในปี 1970 และต้องเข้ารับการผ่าตัดแปลงโฉมในปี 1992
ฉากหลักในช่วงองก์แรกอยู่ในบาร์เหล้าแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก ปี 1970 โดยในปีนั้น สายลับข้ามเวลา (Ethan Hawke จาก Before Sunrise, Daybreakers, Boyhood ฯลฯ) กำลังเตรียมดักทำภารกิจลับตามจับมือระเบิด ‘Fizzle Bomber’ โดยมีฉากหน้าเป็นหนุ่มบาร์เทนเดอร์นั่นเอง
คืนหนึ่งในปี 1975 เขาได้พบกับลูกค้าชายหนุ่มนักเขียนคอลัมนิสต์นามว่า John (Sarah Snook จาก Jessabelle) ทั้งสองได้ร่วมสนทนากันเกี่ยวกับชีวิตอันแสนรันทดเหลือเชื่อของ John โดยเรื่องย่อๆ ของ John เริ่มตั้งแต่สมัยที่ John ยังเป็น Jane เด็กผู้หญิง (นั่นแหละ คุณอ่านไม่ผิดหรอก)
Jane เติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหญิงล้วน เพราะเธอถูกนำมาทิ้งไว้ที่นี่ตั้งแต่ปี 1945 โดยชายปริศนาคนหนึ่ง เมื่อ Jane โตขึ้น ทางสถาบันและตัวเธอเองค้นพบว่าเธอเป็นเด็กพิเศษ ที่มีความฉลาดและแข็งแรงกว่าเด็กผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาก
พอ Jane เรียนจบโดยสมบูรณ์ Mr. Robertson (Noah Taylor จาก Game of Thrones และ Edge of Tomorrow) ก็มาชวน Jane ไปสมัครคัดเลือกเข้าร่วมโครงการนักบินหญิงที่ Space Corp แต่สุดท้ายเธอก็ไปไม่ถึงดวงดาวเพราะผลการตรวจสุขภาพของเธอผิดปกติ เธอจึงต้องออกมาทำงานรับจ้างเป็นแม่บ้านพร้อมกับเรียนภาคค่ำ
และวันหนึ่งก็ได้ตกหลุมรักกับชายคนหนึ่ง ชายคนนั้นทำเธอท้องแล้วทิ้งเธอไป การผ่าคลอดทำให้เธอค้นพบว่าอวัยวะสืบพันธุ์ของเธอผิดปกติ ต้องทำการผ่าตัด แล้วนอกจากนี้ ลูกสาวแบเบาะของเธอยังถูกลักพาตัวไปจากโรงพยาบาลอีก ความซวยซ้ำซวยซ้อนของเธอทำให้เธอกลายเป็นคนที่ฝังใจกับอดีตการงานและความรักของตัวเองมาก
พอฟังเรื่องของ John จบ บาร์เทนเดอร์จึงอาสาพา John เดินทางกลับไปแก้ไขอดีตในสมัยที่ John ยังเป็น Jane โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่า เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจการแก้แค้นแล้ว John ต้องกลับมาทำงานด้วยกันกับเขาในองค์กรลับแห่งหนึ่งที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1985 หลังจากที่โลกวิทยาศาสตร์เพิ่งทำการคิดค้น “นวัตกรรมการย้อนเวลา” ได้
รีวิว วิจารณ์ Predestination (ไม่สปอยล์)
ถ้าใครคาดหวังความเป็นหนังแอ็คชั่นจาก Predestination อาจต้องทำความเข้าใจล่วงหน้าก่อนว่า Predestination ไม่ใช่หนังแอ็คชั่นมันหยดบู๊กระจายอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ถ้าใครเป็นคอหนังแนวไซไฟย้อนเวลา (แบบไม่ได้ซีเรียสเจาะจงว่าต้องแอ็คชั่นไซไฟ) ก็ควรวาร์ปไปจัดหนังเรื่องนี้ได้เลย ไม่ต้องลังเล
เพราะ Predestination เขาก็ได้รับการยอมรับจากนักวิจารณ์ทั่วโลกว่า เป็นหนึ่งในหนังไซไฟย้อนเวลาที่ดีที่สุดแห่งยุค ดังนั้น ต่อให้ Predestination จะใช่หรือไม่ใช่แนวของคุณอย่างไรก็ตามแต่ เราเชื่อว่าคุณจะไม่รู้สึกเสียดายตังค์หรือเสียดายเวลากับหนังเรื่องนี้
สำหรับเรา เราคิดว่าคุ้มค่าเสียด้วยซ้ำ ตีตั๋วเข้าไปดู 200 บาท ดูหนัง 100 นาที แต่พอหนังจบแล้ว อารมณ์และสมองของคุณจะไม่จบแค่นั้น ในหัวเราจะยังเหมือนว่าเรายังอยู่กับหนังได้ต่ออีกหลายชั่วโมง (หรืออาจข้ามวัน!)
ตัวเราเองก็รู้สึกว่า Predestination มีพล็อตเรื่องที่ซับซ้อนแยบยลและพล็อตทวิสต์ที่ล้ำเหนือกว่าที่เราจินตนาการก่อนเดินเข้าโรงอยู่มาก เราชอบพล็อตของเรื่องนี้มากกว่าพล็อตของ Looper หรือ Source Code รวมกันเสียอีก
ถึงแม้จะแอบมีความหลวมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกติดขัดอะไรมาก (เพราะมัวแต่คิดตามหนังมันอยู่) และถึงแม้จะมีช่วงแรกๆ หรือช่วงที่ John เล่าชีวประวัติของตัวเองนั้น จะค่อนข้างยาวยืดไปหน่อย แต่ในความยืดยาวนั้นมันก็เต็มไปด้วยประเด็นแฝงหรือซับพล็อตมากมาย ที่เป็นกุญแจสำคัญในช่วงองก์สุดท้ายของเรื่อง ตั้งใจดูให้ดีๆ ห้ามแอบหลับเด็ดขาด ของเขาดีงาม
ความน่าสนใจคือเรื่องราวของทั้งเรื่องมันวนลูป เป็นงูกินหางวนแล้ววนเล่า ไม่รู้ว่าจุดไหนคือจุดเริ่มต้น จุดไหนคือตรงกลาง และจุดไหนคือจุดสิ้นสุด อารมณ์เหมือนคำถามโลกแตก “ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน” ซึ่ง Predestination เล่าและตีความออกมาได้น่าติดตาม ดีมาก ประทับใจ
นอกจากพล็อตเรื่องการวนลูปของเวลาหรือไทม์พาราด็อกซ์ที่เราสนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว Predestination ยังมีประเด็นแฝงที่เราชอบอีกคือ 1. เรื่องของคนที่พยายามเปลี่ยนแปลงอดีตของตัวเอง (โดยเล่าด้วยวิธีการเล่าเรื่องแบบใหม่ ไม่น่าเบื่อ) 2. โอกาสและความเท่าเทียมทางเพศที่ไม่เท่าเทียมของคนในยุคก่อน
กล่าวคือ ผู้หญิงในสังคมสมัยนั้นมีข้อจำกัดเรื่องจุดยืนในสังคมค่อนข้างสูง ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นจะเก่งหรือฉลาดกว่าผู้ชาย แต่ถ้าเธอเป็นผู้หญิง เธอก็จะไม่ได้รับการยอมรับ ส่งเสริม หรือสนับสนุนอย่างที่ควรจะเป็น
ถือเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ผู้หญิงในสมัยนั้นเป็นได้แค่เบี้ย หรือเครื่องบำบัดทางเพศของผู้ชายเท่านั้น… เนอะ
ในส่วนของนักแสดง แต่ละคนก็แสดงได้ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ อย่าง Ethan Hawke พระเอกของเรานี่คงไม่ต้องพูดถึงมาก เขาแสดงหนังดีๆ มาแล้วหลายต่อหลายเรื่อง โดยเฉพาะล่าสุดที่เขาได้เข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากบทคุณพ่อสุดจ๊าบในหนังเรื่อง 12 Years a Boyhood (เออ ก็ Boyhood นั่นแหละ) แต่สำหรับบทสายลับใน Predestination นี้ การแสดงของเขาอาจจะอยู่ในระดับที่ “ดีคงตัว” กล่าวคือไม่โดดเด้งอะไรมาก
สำหรับเวทีนี้ คนที่เกิดสุดๆ และเหนือความคาดหมายสุดๆ คือนางเอก Sarah Snook ที่เล่นได้ดีเกินมาตรฐานสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ (แต่จริงๆ เราแอบเห็นแววของนางมาตั้งแต่หนังผีเรื่อง Jessabelle แล้วแหละ) เราเชื่อว่า อนาคตในวงการของ Sarah Snook ยังเป็นไปได้อีกไกลเลยทีเดียว จำชื่อของเธอไว้ให้ดี
ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่างไรก็ดี โดยภาพรวม Predestination ถือเป็นหนังไซไฟคลาสสิคที่ดีมาก ไม่แอ็คชั่น แต่ชวนติดตามตลอดเรื่อง ความสนุกอยู่ที่พล็อตเรื่องที่สลับซับซ้อนและพล็อตทวิสต์ที่คาดเดาได้ยาก ความดีงามคือการแสดงของ Ethan Hawke และ Sarah Snook ที่ทำให้หนังที่เนื้อเรื่องดีอยู่แล้วนั้นมีความน่าสนใจยิ่งๆ กว่าเดิม คะแนนโดยสรุปตามความชอบส่วนตัว เราให้ 8/10
ข้อคิดเพิ่มเติม: จากในเรื่อง Predestination เราจะเห็นว่า ต่อให้การย้อนเวลาเป็นไปได้จริง แต่มันก็คงทำได้แค่ “เพิ่มทางเลือก” ให้กับอดีตเท่านั้น สุดท้ายแล้วเราไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงอดีตได้โดยที่จะไม่ส่งผลกระทบอะไรเลย
อธิบายพล็อตและไทม์ไลน์และตัวละคร Predestination (SPOILERS!!!)
รูปจาก: Predestination : Plot Explained
ลำดับแรก เพื่อให้การสรุปเป็นไปโดยเข้าใจง่าย ขอให้ทุกคนเข้าใจตรงกันว่า สายลับบาร์เทนเดอร์ (Ethan Hawke) กับ Jane/John (Sarah Snook) คือคนคนเดียวกัน
เด็กเจนที่สถานรับเลี้ยง (1945) สาวเจนที่นาซ่า (1963) ชายแปลกหน้าที่มีเซ็กส์กับเจน (1963) ชายปริศนาที่ขโมยลูกเจน (1964) ชายปริศนาที่เอาเจนไปทิ้งหน้าสถานเลี้ยงเด็ก (1945) สายลับที่ตามจับมือระเบิด (1970) สายลับที่โดนระเบิดจนหน้าเละ (1970) หนุ่มจอห์นในบาร์เหล้า (1970) บาร์เทนเดอร์ในบาร์เหล้า (1970) จนไปถึงมือวางระเบิดตัวร้ายแห่งนิวยอร์ก (มาจากสักปีในอนาคต หลัง 1992++)
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทุกคนคือคนคนเดียวกัน!
ส่วนสาเหตุที่หน้าตาไม่เหมือนกัน ก็เพราะ Sarah Snook (ในร่าง John) โดนระเบิด จนต้องศัลยกรรมใหม่ทั้งหน้า หน้าใหม่ก็กลายเป็นหน้า Ethan Hawke นั่นแหละ (สังเกตว่า โดยพื้นฐานทั้งคู่มีเบ้าหน้าเป็นรูปหัวใจเหมือนกัน)
“He tells John that he needed John to meet with Jane in order for her to become pregnant and give birth to a child that would eventually grow up to be them and that he deceived John as he had no intention of getting him to kill the Fizzle Bomber. If the temporal agent had not kidnapped the child and transported her back to 1945, or had not set up John and Jane, all of them would not exist. John states that he doesn’t want to leave Jane, but the temporal agent insists it has to be.”
ตามที่กล่าวไปข้างต้น เรื่องราวของทั้งเรื่องมันวนลูป เป็นงูกินหาง วนแล้ววนเล่า ไม่รู้ว่าจุดไหนคือจุดเริ่มต้น จุดไหนคือจุดตรงกลาง และจุดไหนคือจุดสิ้นสุดของลูป
ถ้าให้เราเดา อย่างง่ายที่สุด เราเดาว่าจุดเริ่มต้นคือ Jane (Sarah Snook) คือนางน่าจะเกิดมามีสองเพศอยู่แล้วโดยกำเนิดตามธรรมชาติ (ที่ผิดธรรมชาติ) แล้วพอ Mr. Robertson (Noah Taylor) มาพบความประหลาดดังกล่าว เขามองว่ามันคือความพิเศษ ประกอบกับ Jane/John ไม่มีบ่วงพันธะในชีวิต (ตอนมีลูก ลูกก็ถูกลักพาตัวหายไป) เขาจึงพยายามดึง Jane/John ให้มาทำงานกับเขา (นี่มั่วล้วน เพราะยังมีหลายจุดที่เราก็ยังไม่เก๊ต) จนที่สุด Ethan Hawke ก็พา Sarah Snook กระโดดข้ามเวลาจาก 1960 มาเป็นส่วนหนึ่งในองค์กรในปี 1985 (ซึ่งเป็นปีที่ก่อตั้งองค์กรนั่นแหละ) ส่วนตัว Ethan Hawke เอง ก็รีไทร์จากวงการ และใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เริ่มต้นที่ปี 1975
แต่คำตอบของปัญหา “ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน” ที่พระนางถกกันในเรื่องนั้น ทำให้เราต้องพยายามตีไข่ให้แตกอีกครั้งว่า หรือจริงๆ แล้ว สิ่งที่เกิดก่อนใคร อาจจะเป็น “ไก่ตัวผู้” จริงๆ
เราก็อธิบายได้ดีที่สุดเท่านี้ เพราะเราเองก็ไม่ได้เข้าใจ 100% (อยากเข้าไปดูอีกรอบมาก) ผู้อ่านสามารถดูรูปแผนภาพและคำอธิบายไทม์ไลน์เพิ่มเติมได้ตามลิงค์นี้ >>> http://i.imgur.com/QjYYbsL.jpg
47 comments