หนังเกาหลีที่เซอร์ไพร์สแห่งปี ชอบเกินคาด ตอนนี้เรายกให้ Love in the Big City เพราะนอกจากจะสนุกครบรส ดูแล้วนึกถึงตัวเองกับเพื่อนแล้ว หนังยังมีเมสเซจเกี่ยวกับ “ตัวตน” ที่ดีมาก ๆ เราชอบที่หนังกล้าเล่าเรื่องราวของคนที่ถูกมองว่า “แปลก” หรือ “แตกต่าง” และสอนว่า การเป็นตัวเองไม่ควรถูกมองเป็นข้อด้อย
Love in the Big City เป็นหนังของเพื่อนสนิท เพื่อนสนิทแบบ platonic จริง ๆ ที่ไม่ใช่ เพื่อนสนิท แบบ romantic หรือ sexual แบบดากานดากับไข่ย้อย
หนังเล่าเรื่องความสัมพันธ์ฉันเพื่อนระหว่าง แจฮี (คิมโกอึน จาก Exhuma) สาวหัวนอกที่คนมักมองว่า “ง่าย บ้า และสำส่อน” กับ ฮึงซู (โนซังฮยอน จาก Pachinko) เกย์หนุ่มที่ยังไม่พร้อมเปิดตัว ทั้งสองมาเป็นคู่หูและรูมเมทกันเพราะสังคมต่างมองพวกเขาเป็นคนแปลก
ความสัมพันธ์ของทั้งสองทำให้เรานึกถึงตัวเองกับเพื่อน เพื่อนที่คอยช่วยแชร์ ซัพพอร์ต และไฟต์เพื่อกันและกันในทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะในเรื่องความรักหรือตอนอกหัก แน่นอนว่า เพื่อนกันย่อมมีไฟต์กันเองหรือหยุมหัวกันเองบ้าง แต่ถ้ายามรบกับคนอื่น ต่อให้กำลังงอนกันเองอยู่ ก็พร้อมจะพุ่งเข้าใส่คนที่ทำเพื่อนเจ็บได้เสมอ (อารมณ์แบบ… เพื่อนกู กูหยุมได้คนเดียว)
แจฮีมักเจอแต่ชายแท้ที่ไม่จริงใจ หวังผลประโยชน์ และท็อกซิก ตามสูตรสังคมปิตาธิปไตย ส่วนแฮซึงก็ปิดกั้นตัวเองจากความสัมพันธ์แบบผูกมัดหรือระยะยาว แล้วไหนจะต้องคอยปิดบังตัวตนจากแม่บังเกิดเกล้าที่เคร่งศาสนาจัด ๆ และจากสังคมที่ยังไม่ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย
หนังเน้นประเด็นตัวตนและการเป็นตัวเอง นอกจากเพศสภาพแล้ว ยังมีพูดถึงในบริบทในวัยผู้ใหญ่ เช่น แจฮีที่ต้องสูญเสียตัวตนไปมาก จากคนที่มีสีสัน สดใส และเป็นตัวเองสุด ๆ ก็ค่อย ๆ กลายเป็นคนตามแพทเทิร์น “คนทั่วไปตามค่านิยม” เช่น การแต่งกายที่เหมือน ๆ กันหมด เพราะอิทธิพลจากสังคมการทำงานและผู้ชายรอบข้าง
ในเรื่องนี้ คิมโกอึนได้ปล่อยพลังการแสดงขั้นสุด เคมีก็เข้ากับโนซังฮยอนมาก ๆ ด้วย เราชอบการแสดงของเธอในเรื่องนี้ โดยเฉพาะซีนที่คลินิกทำแท้ง เราชอบที่เธอระเบิดอารมณ์ และพูดว่า “พวกเขามองว่าเราเป็นคนแย่ แล้วพวกเขาก็มีสิทธิมาทำอะไรแย่ ๆ แบบนี้กับเราเหรอ”
จริง ๆ หนังมี quote ที่โดนใจหรือคล้ายกับชีวิตของเราอยู่หลายอันเลย เช่น “คนมักจัดให้สิ่งที่แตกต่างเป็นสิ่งที่ด้อยกว่า” อาจเพราะคนเอเชียหรือคนไทยยังมีบริบทหรือกรอบทางสังคมที่ไม่ต่างจากเกาหลีมาก (เว้นแต่เรื่องเกย์ ที่ที่เกาหลียังไม่เปิดกว้างอย่างไทย ไม่ว่าจะในชีวิตจริงและในสื่อต่าง ๆ) ดังนั้น พวกเราน่าจะเข้าใจและอินกับเรื่องราวของพวกเขาได้ไม่ยาก
โดยสรุป Love in the Big City เป็นหนังที่ดูสนุกและสะท้อนถึงชีวิตของคนเมืองใหญ่ มีประเด็นที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับตัวตนและการเติบโตเป็นตัวเองท่ามกลางความกดดันจากสังคมและค่านิยมแบบเก่า สองนักแสดงนำถ่ายทอดบทบาทได้อย่างยอดเยี่ยมและมีเคมีเข้ากันสุด ๆ รับรองว่า ถ้าใครได้ลองไปดู จะต้องได้ยิ้ม หัวเราะ และเสียน้ำตาให้กับความสัมพันธ์ของพวกเขาแน่นอน
Love in the Big City เข้าฉาย 23 ต.ค. 2024 ในโรงภาพยนตร์