ตั้งแต่มหา’ลัยจนถึงปัจจุบัน ช่วงชีวิตม.ปลาย ซึ่งเป็นวัยที่สนุกที่สุดและในขณะเดียวกันก็หัวเลี้ยวหัวต่อที่สุด เป็นช่วงชีวิตที่เราหวนคิดถึงบ่อยที่สุด เรานึกเสียดายในหลาย ๆ เรื่องที่เราไม่ได้ทำ เรานึกเสียใจในหลาย ๆ สิ่งที่เราเลือกเดิน แต่เราก็ทำได้แต่จินตนาการว่า ถ้าวันนั้น เราทำ/ไม่ทำอย่างนั้น ชีวิตวันนี้จะเป็นอย่างไร เราได้คิดว่า ถ้าเราย้อนเวลากลับไปได้ เราจะทำ/ไม่ทำอย่างนั้น เพราะมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่เราจะได้รับ Second Chance นั้น
ความเป็นไปได้ที่เราเข้าใกล้ได้มากที่สุดคือ การได้ดูหนัง 17 Again เมื่อปี 2009 หนังเล่าเรื่องชายวัยกลางคนที่ได้ย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กหนุ่มวัย 17 ปีอีกครั้ง และได้แก้ไขข้อผิดพลาดในชีวิตมากมาย หนังเรื่องนั้นช่วยเติมเต็มความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงของเรา และติดลิสต์หนังในดวงใจของเราจนถึงทุกวันนี้ แล้วพอ Netflix เอาซีรีส์เกาหลี 18 Again ซึ่งรีเมคจาก 17 Again มาฉาย แถมนักแสดงชายที่มารับบทของ Zac Efron คือ Lee Do-Hyun หรือ “พ่อหิ่งห้อย” จากซีรีส์ Hotel Del Luna เราก็รีบลัดคิวหนังและซีรีส์ทุกเรื่องแล้วเปิด 18 Again ดูทันที
โดยเส้นเรื่องหลักของซีรีส์ 18 Again ยังยืนพื้นจากหนัง 17 Again แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยและบริบททางสังคมของเกาหลี รวมถึงมีการปรับและเพิ่มตัวละครให้มีสีสันมากขึ้น นอกจากนี้ ซีรีส์ไม่ได้ออกไปทาง comedy เท่าต้นฉบับ แต่เน้นมาทางดราม่าสะท้อนชีวิตและสังคมมากขึ้น ซึ่งเราเชื่อว่า คนดูหลายคนจะต้องเสียน้ำตาให้กับซีรีส์เรื่องนี้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะในพาร์ทของครอบครัว

Lee Do-Hyun แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว
18 Again เป็นเรื่องของ Hong Dae Young (Yoon Sang-Hyun) ชายวัย 37 ปี ที่กำลังประสบปัญหาชีวิตการงานและชีวิตแต่งงาน แต่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น เขาได้ย้อนวัยกลับไป 18 ซึ่งเป็นยุคทองของเขาอีกครั้ง ใช้ชื่อใหม่ว่า Go Woo Young และขอให้ Go Deok Jin (Kang-hyeon Kim) CEO บริษัทใหญ่และเพื่อนรักของเขา รับบทเป็นพ่อของเขา
ตอนแรก Hong Dae Young ในร่าง 18 ปี ก็อยากใช้โอกาสนี้ในการเริ่มต้นชีวิตใหม่และใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง ได้เล่นบาสที่เขารักและได้เรียนมหาวิทยาลัยอย่างที่เขาเคยวาดหวังไว้ก่อนที่แผนทุกอย่างจะพังทลายลงเมื่อได้รู้ว่าแฟนสาวของเขาท้อง แต่พอเขาได้มาเจอลูกแฝดของเขาที่โรงเรียน เขาได้พบว่าลูก ๆ ของเขาไม่ใช่ลูก ๆ ที่เขารู้จัก และมีเรื่องปิดบังเขามากมาย เช่น เรื่อง Shi Ah (No Jeong-ee) ทำงานพาร์ตไทม์ และ Shi Woo (Ryeoun) โดนบูลลี่ เขาจึงพยายามเป็นเพื่อนกับลูก แก้ไขและคอยช่วยเหลือครอบครัวของเขาเท่าที่จะทำได้
ต้องขออวยก่อนเลยว่า Lee Do-Hyun คือดาวที่โดดเด่นมากในเรื่องนี้จริง ๆ ทั้งรูปร่างหน้าตา (โดยเฉพาะเวลายิ้ม น่ารักมาก) และการแสดง ทั้ง ๆ ที่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนอายุ 26 ปีอย่างเขา ที่เพิ่งเดบิวต์การแสดงมาไม่กี่เรื่อง ต้องมารับบทนำครั้งแรกในบทสุดท้าทายนี้ ทั้งต้องเล่นเป็นเด็ก 18 ปี ทั้งต้องเล่นเป็นคุณพ่อวัยทำงานในร่างเด็ก 18 ไปด้วยพร้อม ๆ กันอีก แต่เขาก็สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยม ขึ้นแท่นเป็นนักแสดงดาวรุ่งทรงคุณค่า และได้รางวัล Best New Actor ของ 2021 Korea First Brand Awards และ APAN Star Awards 2020

การปรับบทให้เข้ากับยุคสมัยและบริบททางสังคม
อย่างไรก็ตาม ในเวอร์ชั่นซีรีส์นี้ ตัวละครนำชายไม่ได้เด่นอยู่คนเดียวเหมือนเวอร์ชั่น Zac Efron หากแต่นักแสดงนำหญิง ก็เป็นตัวเดินเรื่องหลักและมีบทเด่นไม่น้อยไปกว่ากัน นั่นก็คือบทของ Jung Da Jung (Ha-neul Kim) ภรรยาของ Hong Dae Young และแม่ของคู่แฝดนั่นเอง ซึ่งจะถ่ายทอดความยากลำบากของผู้หญิงเกาหลีที่ท้องก่อนแต่ง ทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วย และยังต้องพิสูจน์ตัวเองท่ามกลางระบบขององค์กรที่ยังให้ความสำคัญกับวัยวุฒิกับวุฒิการศึกษามากกว่าความสามารถ
ในส่วนของลูก ๆ เวอร์ชั่นซีรีส์ เราจะได้เห็นปมในใจของเด็ก ๆ และเห็นความสัมพันธ์ของพ่อลูกมากขึ้น โดยไม่มีซับพล็อตที่ลูกสาวจะมาปิ๊งพ่อตัวเองเหมือนในหนัง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะในยุคนี้ เราควรรณรงค์งดคอนเทนต์ที่ส่งเสริม Pedophilia (โรคใคร่เด็ก) หรือ Incest (ความสัมพันธ์ทางเพศกับคนในครอบครัว) ทั้งทางตรงและทางอ้อม
อย่างไรก็ตาม เราติดใจเรื่องที่ซีรีส์ปรับบทให้เป็นลูกทั้งสองของพระนางเป็นฝาแฝดกันแต่ก็ยังกระจายบทให้ต่างกันราวฟ้ากับเหว โดยเฉพาะปมในใจที่คิดว่าตัวเองเกิดจากความผิดพลาดและทำลายอนาคตของพ่อแม่ ก็เหมือนจะมีแต่แฝดหญิงคนเดียวที่แบกรับความรู้สึกนั้นไว้ ทั้งที่บทของเธอก็เยอะอยู่แล้ว ทั้งพาร์ทปมกับพ่อแม่และพาร์ทเรื่องส่วนตัวของเธอเอง (เวอร์ชั่นหนัง เด็กสองคนไม่ได้เป็นแฝดกัน คนโตเกิดจากการท้องก่อนแต่ง แต่อีกคนเกิดหลังจากนั้น)

ในความรู้สึกของเรา ซีรีส์แผ่วลงในช่วงท้าย การคลายปมก็ค่อนข้างอ่อนไปหน่อย และมีจุดที่ดูไม่เมคเซนส์อยู่บ้าง (เช่น ทำไมพระเอกไม่ไปทำงานที่บริษัทของเพื่อนตั้งแต่แรก น่าจะสบายกว่าไปงานซ่อมเครื่องซักผ้า ไหน ๆ ก็ต้องทำงานที่ไม่ชอบอยู่แล้ว ทำงานกับเพื่อนก็น่าจะสนุกกว่า…) แต่โดยรวมแล้ว ซีรีส์เรื่องนี้ก็ยังมีบทเรียนชีวิต ประเด็นสังคม และสิ่งดีงามมากมายอยู่ (เช่น นักแสดงที่สวยหล่อแทบยกเซต) ดังนั้น เราก็ยังยกให้เป็นหนึ่งใน MUST-WATCH แห่งปีอยู่ดี
อย่างที่บอกไปข้างต้น ประเด็น บทเรียน และข้อคิดที่น่าสนใจจากซีรีส์ 18 Again มีเยอะมาก ถ้าจะให้เขียนต่อเนื่องในบล็อกหรือบทความนี้เลย ก็คงจะยาวเกินไป (เหมือนตอนรีวิว Start-Up) เราจึงจะขอยกไปสรุปอีกทีในบล็อกหรือบทความหน้า เพื่อที่จะได้เลี่ยงความเสี่ยงในการสปอยล์ต่อผู้ที่ยังไม่ได้ชมซีรีส์เรื่องนี้แล้วหลงเข้ามาอ่านรีวิวนี้ก่อนด้วย ฝากติดตามกันด้วยนะคะ :)
“You can tell the size of a person’s love when it’s raining. Even if you use an umbrella together, you can clearly see the size of a person’s love by looking at the slope of it.”
4 comments
Comments are closed.