ถึงแม้เราจะผิดหวังทั้งจาก Murder on the Orient Express และ Death on the Nile แต่ด้วยความที่ชอบหนังแนว “Whodunnit” เราจึงให้โอกาสนักสืบคนดัง Hercule Poirot และ/หรือ Kenneth Branagh (จาก TENET) อีกครั้ง กับ A Haunting in Venice
A Haunting in Venice ดัดแปลงจาก Hallowe’en Party นิยายของ Agatha Christie คนเดิม ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1969 โดยเวอร์ชั่นภาพยนตร์ของ Kenneth Branagh นี้ เซตฉากอยู่ในเมืองเวนิซ ประเทศอิตาลี ปี 1947 ซึ่งเป็นช่วงที่เพิ่งผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 มาไม่นาน
หนังยังคงคอนเซ็ปต์ตัวละครเยอะ ๆ มารวมตัวกันในสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมที่เป็นสถานที่ปิดที่หนึ่ง ตัวละครที่ความหลากหลายทางเชื้อชาติและสีผิว เพียงแต่ใช้นักแสดง A-List น้อยลงเรื่อย ๆ

ในภาคนี้ เปิดเรื่องมา Poirot กำลังใช้ชีวิตเกษียณอยู่ในเวนิซ มีเพียง Vitale Portfoglio (Riccardo Scamarcio) ซึ่งเป็นอดีตตำรวจ อยู่เป็นบอดี้การ์ดข้างกาย จนกระทั่ง Ariadne Oliver (Tina Fey) เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่เป็นนักเขียนชื่อดังมาเชิญชวนให้ไปจับผิดร่างทรงในคืนวันฮาโลวีน
Joyce Reynolds (Michelle Yeoh นักแสดงออสการ์) เป็นร่างทรงที่อดีตนักร้องโอเปร่า Rowena Drake (Kelly Reilly) ว่าจ้างเธอไปที่บ้าน เพื่อทำพิธีกรรมติดต่อกับ Alicia (Rowan Robinson) ลูกสาวของเธอที่ฆ่าตัวตายที่นี่เมื่อปีที่แล้ว โดย Mrs. Reynolds ไปกับผู้ช่วยสองคนคือ Desdemona และ Nicholas (Emma Laird และ Ali Khan)
ที่บ้านหลังนั้น พวกเรายังได้พบกับคุณแม่บ้าน Olga Seminoff (Camille Cottin), Leslie Ferrier (Jamie Dornan) หมอประจำตระกูล และ Leopold ลูกชายของหมอ (Jude Hill), อีกทั้งยังมี Maxime Gerard (Kyle Allen) อดีตคู่หมั้นของเด็กหญิงที่ตายมาร่วมปาร์ตี้ด้วย
สิ่งที่เราชอบภาคนี้มากกว่าภาคก่อน ๆ คือ Michael Green ได้เขียนบทสอดแทรกประเด็นผลกระทบจากสงคราม ทั้งเรื่อง PTSD, เศรษฐกิจ, ผู้ลี้ภัย ฯลฯ ยิ่งพอนำมาผสมผสานกับงานภาพแบบหนังยุคเก่าและโปรดักชั่นดีไซน์สไตล์โกธิค ก็ยิ่งเพิ่มมนต์ขลังและกลิ่นอายความหลอนให้กับหนัง รวมถึงการแสดงของ Michelle Yeoh ทำให้ภาพรวมดูดีมากกว่าภาคก่อน ๆ
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า หนังยังมีจุดอ่อนเหมือนกับภาคก่อน ๆ ก็คือ เนือย ขาดเสน่ห์และชั้นเชิงในการเล่าเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นในขั้นตอนของการสืบสวนสอบสวน ไขคดี และคลี่คลายปมต่าง ๆ ซึ่งควรเป็นหัวใจสำคัญของหนังประเภท “Whodunnit”
โดยรวม A Haunting in Venice จึงเป็นแค่หนังที่พอดูได้ฆ่าเวลาเท่านั้น จะดูก็ได้ หรือจะไม่ดูก็ไม่เป็นไร