3 ปีที่แล้ว John Krasinski ได้เนรมิตและพาพวกเราไปสัมผัสกับ “ดินแดนไร้เสียง” เป็นครั้งแรกใน A Quiet Place หนังภาคแรกประสบความสำเร็จทั้งในแง่คำวิจารณ์และรายได้ เพราะหนังเขาทำได้ดีจริงตั้งแต่คอนเซ็ปต์จนถึงทุก ๆ ภาคส่วน มีฉากน่าจดจำหลายฉาก
ภาคแรกเน้นไปที่เรื่องราวความสัมพันธ์และการเอาตัวรอดของครอบครัวตัวละครเอก รวมถึงการค้นพบหนทางในการต่อสู้กับเจ้าเอเลี่ยน (ที่รังเกียจเสียงของผู้คนเสมือนรัฐบาลบางประเทศ) ส่วนใน A Quiet Place Part 2 ภาคนี้ เล่าเรื่องต่อจากตอนจบของภาคแรกเลย (ดังนั้น ควรเคยดูหรือทบทวนภาคแรกมาก่อนดูภาคนี้) เป็นการเดินทางไปหาผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ และหาทางมีชีวิตรอดโดยปราศจากพ่อผู้เคยเป็นหัวหน้าครอบครัว
Evelyn (Emily Blunt จาก Sicario) ผู้เป็นแม่ พา Regan ลูกสาวคนโต ผู้หูหนวกเป็นใบ้โดยกำเนิด (Millicent Simmonds), Marcus ลูกชายคนรอง (Noah Jupe จาก Ford v Ferrari), และทารกเกิดใหม่ เดินทางขึ้นเขาไปหาที่อยู่ใหม่ (หรือที่หลบภัยใหม่) ที่นั่นเอง พวกเขาได้พบกับ Emmett (Cillian Murphy จาก Inception) เพื่อนบ้านเก่าของพวกเขา
“The people that are left … they’re not worth saving.”
ในเวลา 1 ชั่วโมง 37 นาที หนังเล่าเหตุการณ์ที่ดำเนินต่อไปเพียง 2-3 วัน เราจึงไม่ได้เห็นสตอรี่ไลน์มากมายและอาจไม่ค่อยเห็นพัฒนาการของตัวละครหลักมากเท่ากับภาคแรก แต่หนังภาคนี้มีสเกลที่ใหญ่ขึ้นและเงียบน้อยกว่าภาคแรก โดยภาคนี้เราจะได้เจอกับตัวละครอื่น ๆ เยอะขึ้น และได้เห็นว่าโลกที่มีเอเลี่ยนทำให้ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเปลี่ยนไปขนาดไหน
บางทีก็อดไม่ได้ที่จะเอาเหตุการณ์เอเลี่ยนในหนังย้อนมาเปรียบเทียบหรือคิดถึงกับโลกที่มี COVID-19 pandemic อยู่ ณ ปัจจุบัน โดยเฉพาะซีนที่ไปพบกับชุมชนหนึ่งซึ่งใช้ชีวิตได้ปกติสุขปราศจากเอเลี่ยนคุกคาม มันเหมือนคนไทยคือกลุ่มตัวละครเอก และชุมชนนั้นคือประเทศพัฒนาที่ประชาชนได้ฉีดวัคซีนที่ดีกันถ้วนหน้าและใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องสวมแมสก์แล้ว
อย่างไรก็ตาม เราต้องยอมรับว่า John Krasinski (ผู้กำกับ ผู้เขียนบท และผู้แสดงเป็นพ่อผู้ล่วงลับของครอบครัว) สามารถเล่าเรื่องได้อย่างชาญฉลาด สนุก ตื่นเต้น และน่าติดตาม เขาแบ่งตัวละครหลักออกเป็น 2-3 กลุ่ม แล้วเล่าตัดสลับอย่างมีชั้นเชิง
กลุ่มแรกคือ Regan ที่เชื่อว่า ที่ที่เธอจะไปมีกลุ่มผู้รอดชีวิตอยู่ เธอจึงแอบออกไปค้นหาคนเดียว เพื่อช่วยให้คนในครอบครัวได้มีบ้านที่ปลอดภัย เธอเชื่อว่าเธอกำลังทำหน้าที่แทนพ่อ แน่นอนว่า เธอฉลาดและกล้าหาญ แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ไม่ฉลาดที่ออกไปหาทำคนเดียว โชคดีที่มี Emmett ตามออกไปช่วย ทั้งสองก็ร่วมมือกันไปตามหาชุมชนผู้รอดชีวิต ซึ่ง Millicent Simmonds นักแสดงเด็กหน้าใหม่และพิการทางการได้ยินด้วยในชีวิตจริง ยังคงแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม และประกบกับนักแสดงมืออาชีพอย่าง Cillian Murphy ได้โดยไม่รู้สึกขัดใจ
อีกกลุ่มคือ Marcus ลูกชายผู้ขี้ตื่นตระหนก และต้องอยู่เลี้ยงน้องทารกคนเดียวในบังเกอร์ เพราะแม่จำเป็นต้องออกไปหาหยูกยาและถังอ็อกซิเจนมาให้ลูก ๆ ซึ่ง Noah Jupe ก็ได้พิสูจน์อีกครั้งว่า เขาคือนักแสดงเด็กที่มีความสามารถและอนาคตไกล ถึงแม้เขาจะเริ่มโตไวเกินตัวละครในเรื่องไปแล้วตามประสาวัยรุ่น แต่ก็เป็นเรื่องที่คนดูเข้าใจได้ ส่วนนักแสดงมืออาชีพ ผู้เป็นทั้งภรรยาในหนังและในชีวิตจริงของผู้กำกับอย่าง Emily Blunt เธอได้รับการยอมรับอยู่แล้วเรื่องความสามารถทางการแสดง และเรื่องนี้ เธอก็ทำหน้าที่ได้ไร้ที่ติทั้งบทนำและพาร์ทซัพพอร์ตเด็ก ๆ ให้ shine bright like a diamond ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
John Krasinski คงรู้ดีว่า Millicent Simmonds กับ Noah Jupe คือหนึ่งในจุดแข็งจุดหลักของ “ดินแดนไร้เสียง” แห่งนี้ไปแล้ว เสมือนการตระหนักรู้ว่า “เด็กคืออนาคตของชาติ” และทุก ๆ คนสามารถเป็น “หัวหน้าครอบครัว” ได้ เขาจึงเลือกให้เด็ก ๆ เป็นตัวเดินเรื่องหลักโดยมีผู้ใหญ่คอยเป็นแบ็คหนุน และดันเด็ก ๆ อย่างเต็มที่จนถึงฉากตัดจบอัน so powerful พร้อม ๆ กับเปิดประตูบานใหญ่ไปสู่ A Quiet Place Part 3 ที่ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องมี!
A Quiet Place Part 2 คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8/10
2 comments
Comments are closed.