A Quiet Place: Day One เป็นหนัง prequel กล่าวคือ เล่าเรื่องเหตุการณ์ ณ วันที่เอเลี่ยนบุกโลกวันแรก แต่ก็ยังอยู่ในจักรวาลเดียวกับสองภาคก่อน โดยหนังภาคนี้เริ่มโฟกัสที่มนุษย์หรือประชาชนมากขึ้น เล่าเรื่องราวของตัวละครใหม่ในเซตติ้งใหม่…นิวยอร์ก เราจึงจะได้เห็นนิวยอร์ก… เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเสียงดัง จอแจ และวุ่นวายที่สุดเมืองหนึ่งของโลก กลายเป็น “ดินแดนไร้เสียง” อันเงียบสงัด
Day One จึงให้ฟีลลิ่งที่แตกต่างจากสองภาคก่อนมาก ทั้งสเกลใหญ่ขึ้นและเสียงดังกว่า ซึ่งสิ่งที่ต้องอวยอย่างแรกเลยคือ ดีไซน์งานซาวนด์ที่ละเอียดดีมาก ๆ ๆ โดยส่วนตัว เราดู Day One ในโรงมาสองรอบด้วยกัน รอบแรกดู IMAX รอบสองดูโรงธรรมดา เราสัมผัสถึงความรู้สึกที่แตกต่างด้านซาวนด์อย่างชัดเจนมาก เป็นบุญหูที่ได้ดูใน IMAX เพราะรู้สึกถึงซาวนด์ที่กระหึ่มและ surrounding กว่า ทั้งภาพและเสียงมันให้ฟีลเหมือนไปอยู่ในเหตุการณ์จริงที่นิวยอร์ก
ตัวเดินเรื่องของ Day One คือ Sam (Lupita Nyong’o จาก 12 Years a Slave, Us, Black Panther) ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายกับ Frodo แมวของเธอ (ย้ำว่า หนังใช้แมวเป็นตัวเดินเรื่องอย่างคุ้มค่าและจริงจังจริง ๆ ไม่ใช่ไม้ประดับ) และหนังช่วงย่างเข้าองก์สอง เริ่มเข้มข้นขึ้นเมื่อ ตัวละคร Eric นักเรียนกฎหมายชาวอังกฤษ (Joseph Quinn จาก Stranger Things) โผล่เข้ามาร่วมการเดินทางกับ Sam และ Frodo ด้วย ทั้งสอง (หรือทั้งสาม?) เริ่มต้นจากคนแปลกหน้า แต่มิตรภาพและการซัพพอร์ตกันและกันระหว่างทาง มันทำให้เกิดไดนามิคขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ Joseph Quinn แสดงออกทางสีหน้า แววตา และท่าทางการกระทำได้ดีมาก (เพราะพูดมากไม่ได้) ประกบเป็นพาร์ทเนอร์กับนักแสดงออสการ์ได้ไม่ดร็อป มิหนำซ้ำยังส่งเสริมกันและกันอย่างยอดเยี่ยม ส่วนแมวก็แสดงได้ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ (นึกภาพแมวตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์แบบในหนัง นางก็น่าจะวิ่งหนีกระเจิง หายหรือตายไปตั้งแต่ระเบิดลงลูกแรก และไม่มีหรอก เดินตามคนต้อย ๆ เหมือนหมาน่ะ)
ความน่าสนใจคือ เราจะได้เห็นคนที่เตรียมตัวเตรียมใจกับความตายอยู่แล้ว (พูดง่าย ๆ คือ ใกล้ตาย) รับมือกับวันโลกแตกหรือวิ่งหนีความตายในรูปแบบที่เธอไม่ได้เตรียมใจ ซึ่งนั่นก็คือการมี “เป้าหมายที่ต้องทำก่อนตาย” อย่างแน่วแน่ เพื่อเป็นเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ (หรือ ณ ที่นี้ คือ การรักษาชีวิตให้มีอยู่)) และเป้าหมายของเธอก็คือ การได้กลับไปกินพิซซ่าร้านประจำที่พ่อเคยพาไปบ่อย ๆ ในวัยเยาว์… the place where she feels like “home” or “nostalgia”
Eric ก็เคยมี life purpose นั่นก็คือ จากบ้านเกิดมาเรียนกฎหมายที่นิวยอร์กคนเดียว แต่แล้วในวันโลกแตก เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่นั้นกลับไม่มีความหมายในทันที (เช่นเดียวกับเด็กชายใน A Quiet Place Part I ฉงนว่า ในสภาวะแบบนี้ คณิตศาสตร์ยังจำเป็นต้องเรียนอยู่ด้วยหรือ) Eric กลายเป็นคนโดดเดี่ยว หลงทาง ในชั่วพริบตา เขาจึงเลือกเกาะติด Sam และ Frodo ประหนึ่งนี่คือที่ยึดเหนี่ยวหรือเป้าหมายหลัก ที่ทำให้เขามีกำลังใจสู้ในการมีชีวิตเอาตัวรอดต่อไป
สรุป คนเราต้องมี life purpose หรือ passion ในการมีชีวิตอยู่
เราคิดมาตลอดว่า A Quiet Place เป็นหนังการเมือง (ควบคู่กับประเด็น parenting ซึ่งพูดรวม ๆ ว่าเป็นการปกครองคนได้เช่นกัน) ตามที่เราเคยตีความไว้ในรีวิว A Quiet Place ภาคแรก (2018) ว่า “เอเลี่ยนก็เหมือนรัฐบาลเผด็จการ ที่พอยึดเมืองปุ๊บก็โลกาวินาศ… ประชาชนไม่มีสิทธิมีเสียง ห้ามพูด ห้ามออกความเห็น ห้ามเสียงดังตึงตัง รัฐบาลแหกปากได้คนเดียว วิทยุ ทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ หรือใดใดที่เป็นกระบอกเสียงของประชาชนได้คือสิ่งที่มันกลัว” และในรีวิว A Quiet Place Part II (2021) เราก็พูดถึง community อันสงบสุขที่เอเลี่ยนยังเข้าไม่ถึงว่า เปรียบเสมือนดินแดนที่ไม่ได้ปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ Day One จะเน้นความเป็นมนุษย์มากกว่า แต่ก็ยังจะเห็นได้ว่า ตัวละครนำและสมทบที่เห็นเด่น ๆ ในฉากต่าง ๆ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนชายขอบ เช่น ผู้ป่วย เด็ก คนแก่ และ immigrants เช่น พยาบาลที่รับบทโดย Alex Wolff ที่มีเชื้อสายยิว และหนึ่งในคนบนเรืออพยพที่รับบทโดย Djimon Hounsou (ผู้มีบทบาทสำคัญใน A Quiet Place Part II)
สุดท้าย ถึงแม้ Day One จะยังไม่ใช่ A Quiet Place Part 3 ที่เรารอคอย แต่ก็อยู่ภายใต้การเขียนบทร่วมและคงคอนเซ็ปต์หรือธีม “ความเป็นมนุษย์” ของ John Krasinski (ผู้กำกับ คนเขียนบท และนักแสดงนำ) ที่เราซื้อมาโดยตลอด ที่สำคัญ นี่คือ prequel ที่ worth investing และหวังว่าหนึ่งในตัวละครนำของ Day One จะไปร่วมอยู่ในหนัง Part 3 ต่อไป
It’s good to have been back.