Babygirl จากค่าย A24 ไม่ใช่แค่หนังรักซ่อนเร้นหรือเซ็กส์เร่าร้อน 18+ ตามหน้าหนัง แต่คือบทสำรวจลึกซึ้งของปมมนุษย์ในเรื่องเพศ อำนาจ และความสัมพันธ์ โดยพาเราไปตั้งคำถามกับค่านิยมและกรอบคิดเดิม ๆ พร้อมทั้งเติบโตไปกับตัวละคร ทั้งในด้านที่งดงามและเจ็บปวด และทิ้งคำถามให้กลับไปคิดต่อว่า อะไรคือพลังและความหมายที่แท้จริงของ “การควบคุม” กันแน่?
Romy (นักแสดงออสการ์ Nicole Kidman) CEO หญิงแกร่งวัย 50 กว่า ที่สมบูรณ์พร้อม ทั้งรูปร่างหน้าตา หน้าที่การงาน ฐานะความมั่นคง และครอบครัวที่น่ารัก Jacob (Antonio Banderas จาก The Mask of Zorro) สามีของเธอ ก็รักและเป็นเซฟโซนให้กับเธอมาโดยตลอด ติดแค่ปัญหาเดียวคือเธอไม่เคยเสร็จหรือไปถึงจุดสุดยอดกับสามีของเธอเลย
วันหนึ่ง เธอได้พบกับ Samuel (Harris Dickinson จาก Triangle of Sadness) เด็กฝึกงานวัยคราวลูก ที่เข้าใจความต้องการที่ซ่อนเร้นของเธอ และสนองในสิ่งที่สามีของเธอให้ไม่ได้ รวมถึงทำให้เธอกล้ายอมรับความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง เวลาที่เธออยู่กับ Samuel เธอกลายเป็นลูกแมวน้อย เป็นเบบี้เกิร์ลคนเก่ง เปราะบาง (vulnerable) แต่ไม่อ่อนแอ (weak) แต่นั่นก็ทำให้เธอเอาชีวิตที่เคยปลอดภัยและมั่นคง ทั้งครอบครัวและการงาน ไปแขวนบนเส้นด้าย
ความท้าทายในการดู Babygirl อย่างหนึ่งคือ เราต้องไม่ตัดสิน (We don’t judge!) เราต้องมองตัวละครเป็นมนุษย์เทา ๆ คนหนึ่ง ไม่มองด้วยเลนส์ศีลธรรมหรือบรรทัดฐานของสังคม เราจึงจะเข้าใจตัวละครและเมสเซจของหนังได้จริง ๆ
เช่น ถ้ามองแบบคนที่เติบโตในสังคมที่ให้ความสำคัญกับความอาวุโสและชนชั้นวรรณะ เราอาจมองว่า Samuel เป็นเด็กปีนเกลียวที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง (ถ้าทำแบบนี้ในชีวิตจริง น่าจะโดนเด้งไปนานแล้ว) แต่เอาเข้าจริง Samuel เป็นตัวละครที่อ่านคนถึงเนื้อในได้เก่งที่สุด เพราะ “มองคนเป็นคน” จริง ๆ ไม่ได้มองคนเป็น “เจ้านาย-ลูกน้อง” หรือ “คนแก่-เด็กหนุ่ม” ในขณะที่สามีที่แสนดีอย่าง Jacob ซึ่งเป็นชายแท้ผู้เติบโตมาในยุคชายเป็นใหญ่ก็มีกรอบความคิดเรื่องเพศที่ล้าสมัย ทำให้ไม่เข้าใจภรรยาและกดทับเธอโดยไม่รู้ตัว
สุดท้ายแล้ว นี่เป็นหนังที่พูดถึงเรื่องอำนาจและการควบคุม ทั้งในเรื่องบนเตียง ตำแหน่งงาน และสถานะทางสังคม ซึ่งมันไม่ได้วัดกันที่ตำแหน่ง ฐานะ หรือความมั่งคั่งอีกต่อไป คนที่มีอำนาจจริง ๆ คือ คนที่เข้าใจความต้องการของตัวเอง จนถึงรู้ความเปราะบางของผู้อื่นแล้วใช้มันให้เป็นประโยชน์ ซึ่งเราชอบทางลงของหนังที่เขียนให้กับความสัมพันธ์อันซ่อนเร้นของเหล่าตัวละคร โดยเฉพาะการสื่อสารของคู่สามีภรรยาให้เข้าใจความต้องการที่ตรงกัน และหนทางที่ Esme (Sophie Wilde จาก Talk To Me) พนักงานหญิงในบริษัท ใช้เรื่องแอบแซ่บของ CEO สาวใหญ่กับไอ้ต้าวหมาเด็กฝึกงาน เป็นอำนาจในการ “สร้าง” มากกว่า “ทำลาย”
โดยสรุป ถึงแม้ Babygirl เหมือนจะเป็นหนังขายเสียว วาบหวิว รักซ่อนชู้ หรือรักต่างวัยของโคแก่กับหญ้าอ่อน แต่สุดท้าย มันก็ไม่ใช่หนังที่คนดูจะสามารถคาดหวังฉากเซ็กส์อย่าง 50 Shades of Grey หรือคาดหวังว่าความอีโรติคทริลเลอร์ แต่ถ้าใครชอบหนังแนว psychosexual drama หรือหนังบอกเล่าเกี่ยวกับปมในจิตใจที่ถูกกดทับ จนไปถึงอำนาจและการควบคุม เรื่องนี้อาจเป็นหนังของคุณ