Babylon ผลงานกำกับล่าสุดของ Damien Chazelle (จาก Whiplash, La La Land, และ First Man) เป็นจดหมายรักถึงภาพยนตร์และจดหมายชังถึงฮอลลีวู้ด
หนังเริ่มต้นที่ช่วงขาขึ้นของฮอลลีวู้ด ปี 1926 และสิ้นสุดที่ปี 1952 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนผ่านมากมายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะช่วงคาบเกี่ยวระหว่างหนังเงียบกับหนังเสียง ซึ่งในโลกความเป็นจริง ก็มีนักแสดงและทีมงานเบื้องหลังของหนังเงียบหลายคนก็ไม่สามารถปรับตัวได้ ไม่เหมาะ และไม่ได้ไปต่อในยุคหนังเสียง หรือพูดง่าย ๆ ว่า “หมดยุค”
หนังเริ่มต้นด้วยความฝันของคนหนุ่มสาวใน LA ที่อยากจะเป็นดาว คล้าย ๆ กับ La La Land แต่จะเน้นชี้มากกว่าว่า ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องจีรัง ทุกคนมีช่วงเวลาของตัวเอง วงการบันเทิงฮอลลีวู้ดก็เหมือนวงจรอุบาทว์ มีเหล้ายาปาร์ตี้ มีด้านมืดด้านสว่าง และก็มีเกิดมีดับ มีรุ่งมีร่วง เป็นไปตามยุคสมัย คล้าย ๆ กับยุคของสื่อสิ่งพิมพ์กับสื่อดิจิตัล หรือยุคของ YouTube กับยุคของ TikTok หรือยุคของโรงภาพยนตร์กับสตรีมมิ่ง
“You don’t become a star. You either are one or you ain’t.”
ในวงการมายา บางทีแค่ความสามารถหรือความมุ่งมั่นก็อาจไม่นำพาไปสู่ประสบความสำเร็จได้เสมอไป แน่นอนว่า ความพยายามสร้างโอกาสให้ตัวเองก็คือการเริ่มต้นที่สำคัญ แต่สุดท้ายมันก็ต้องมีพึ่งจังหวะ มีโชค หรือมี Timing ด้วย (ยังไม่นับเรื่องคอนเน็กชั่น หรืออะไรต่าง ๆ นั่นอีก) เช่นเดียวกับนางเอกในเรื่องนี้ที่ได้เป็นดาราเพราะไปอยู่ถูกที่ถูกเวลา (แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะเธอพยายามดั้นด้นเข้าไปในที่แห่งนั้นแต่แรกด้วยก็ด้วย)
อย่างไรก็ดี หนังยกย่องหนังด้วยกันด้วยว่า หนังเป็นความบันเทิงที่ทลายกำแพงชนชั้น ทุกครัวเรือนสามารถเข้าถึง และหนังก็จุดประกายความฝันให้คนดูได้ จนถึงขั้นเปลี่ยนชีวิตเด็กยากจนให้เป็นเศรษฐีได้จากรูปร่างหน้าตาและความสามารถได้ (ถ้าคุณเกิดมาเป็นดาว) ตรงกันข้ามกับละครบรอดเวย์หรือโอเปร่าที่เป็นความบันเทิงของไฮโซหรือคนชั้นสูงเท่านั้น
Babylon เล่าเรื่องราวฮอลลีวู้ดในยุค 1920s-1930s ผ่านมุมมองของตัวละครหลัก ได้แก่ ซูเปอร์สตาร์ค่าตัวแพงอันดับหนึ่งของวงการอย่าง Jack Conrad (Brad Pitt ผู้ชนะออสการ์จาก Once Upon a Time in Hollywood), ดาวรุ่งหญิงจากโคลนตมที่เชื่อว่าตนเกิดมาเป็นดาว Nellie LaRoy (Margot Robbie ผู้เข้าชิงออสการ์จาก I, Tonya), ผู้อพยพชาวเม็กซิกันที่อยากเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งสำคัญ Manuel “Manny” Torres (Diego Calva ดาวรุ่งจาก Narcos: Mexico), และก็ยังมี Elinor St John (Jean Smart) นักข่าวที่มีอิทธิพล (หรืออาจเปรียบเปรยเป็นแมลงสาบ) ในวงการฮอลลีวู้ดอีกด้วย
นอกจากนี้ Damien Chazelle ยังเพิ่มบทบาทให้คนชายขอบของฮอลลีวู้ด เช่น คนผิวสี และ homosexual โดยมีตัวละครสมทบที่ช่วยสะท้อนความเรียลของวงการได้อีก ตั้งแต่ Lady Fay Zhu (Li Jun Li) ที่เสมือนเป็นตัวแทนของ Anna May Wong ที่ในชีวิตจริงคือ นักแสดงอเมริกันเชื้อสายจีนคนแรกของฮอลลีวู้ดที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และ Sidney Palmer (Jovan Adepo) นักดนตรีแจ๊ซเชื้อสายแอฟริกัน
“But in a hundred years when you and I are long gone, anytime someone threads a frame of yours through a sprocket, you’ll be alive again.”
ความดีงามคือ หนังพาคนดูไปเยี่ยมชมเบื้องหลังของฮอลลีวู้ดยุคนั้นแบบย่อยง่าย ซึ่งไม่ได้หาดูได้ง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่อะไรสำหรับคนที่ดูหนังมาพอสมควร และอีกอย่างคือ พอมีตัวละครเยอะ มีเรื่องราวมากมาย มันเลยกลายเป็นความมะรุมมะตุ้ม อีรุงตุงนัง (นี่เป็นหนังที่ “ล้นที่สุด” ของผู้กำกับคนนี้ก็ว่าได้) ซึ่งแรก ๆ มันก็ขำและเจ๋งดี แต่พอดูไปสักพัก เราเริ่มรู้สึกเหนื่อย มันเริ่มเยอะไป ยาวไป ไม่สมูธ และไม่จำเป็น ประหนึ่ง Damien Chazelle ต้องการเลคเชอร์ History of 1920s Hollywood ในเวลา 3 ชั่วโมงกว่า ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะซื้อ
The Good
- Strong cast
- History of 1920s Hollywood
The Bad
- Too long & too much