สองดาวเด่นแห่งวงการหนังสายรางวัล ผู้กำกับ Luca Guadagnino และนักแสดงหนุ่ม Timothée Chalamet จาก Call Me by Your Name โคจรมาบรรจบกันอีกครั้งใน Bones and All ซึ่งดัดแปลงจากหนังสือนิยายของ Camille DeAngelis
Bones and All เป็นเรื่องราว Road Trip ของหนุ่มสาว “Eaters” หรือ “Cannibals” หรือ “มนุษย์ที่กินเนื้อมนุษย์” ที่เหมือนวัยรุ่นที่แตกต่างจากกลุ่มคนกระแสหลักทั่วไป พวกเขาต้องการเป็นและมีชีวิตธรรมดาเหมือนคนปกติ ต้องการการยอมรับและความรัก ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ต้องพยายามเรียนรู้ เข้าใจ รักและยอมรับตัวตนของตัวเองให้ได้ก่อนที่จะเริ่มรักผู้อื่นหรือเรียกหาความรักจากผู้อื่น
Maren (Taylor Russell จาก Escape Room) ถูกพ่อทิ้งไปเมื่ออายุครบ 18 ปี เพราะพ่อคิดว่าเธอโตพอที่จะสามารถดูแลตัวเองได้แล้วและเขาไม่สามารถรับมือกับเธอได้อีกต่อไปแล้ว เธอจึงตัดสินใจออกเดินทางไกลไปตามหาแม่ที่ Minnesota เพื่อค้นหาบางสิ่งที่หายไป
ระหว่างทาง เธอได้พบกับลุง Sully (Mark Rylance ผู้ชนะออสการ์จาก Bridge of Spies) อีทเตอร์รุ่นอาวุโส ที่เต็มไปด้วยความเหงาและโดดเดี่ยว ทำให้เธอรู้ว่า เธอไม่ได้เป็นแบบนี้คนเดียวในโลก อีกทั้งเขายังสอนให้เธอดมกลิ่นและสังเกตพฤติกรรม เพื่อรู้ว่าคนไหนเป็นพวกเดียวกันกับเธอ จนกระทั่งเธอได้มาเจอกับ Lee (Timothée Chalamet ผู้เข้าชิงออสการ์จาก Call Me by Your Name) ผู้มีแนวคิดและวิถีการหากินแตกต่างจากลุง Sully ทั้งสองตกหลุมรักกันและร่วมเดินทางไปด้วยกัน
ด้วยความเป็นหนัง Road Trip ตามสไตล์ก็คือ มันเป็นหนัง coming-of-age ที่เราจะได้ดูตัวละครค้นหาตัวเองเรียนรู้และเติบโตไปตลอดการเดินทาง Maren กับ Lee ก็เช่นกัน พวกเขาพยายามโอบรับตัวเอง ปรับตัวกับสังคมปัจจุบันโดยไม่ทิ้งตัวตน และตามหา “บ้าน” หรือที่ที่ใช่ที่ของเขาอย่างแท้จริง
เราชอบโมเมนต์ที่ในหนังต้องมีตัวละครตัวใดตัวหนึ่งหลงทาง โง่เง่า หรือออกนอกลู่นอกทางไปบ้างในบางครั้ง และตัวละครอื่น ๆ เลือกที่จะรออยู่ที่เดิม หรือเลือกไปอยู่ในที่ที่เชื่อว่าวันหนึ่งคนที่จากไปจะวกกลับมาหากันเจอ อย่างเช่น Maren กับ Lee ในเรื่องนี้ หรือคล้าย ๆ อย่าง Ron ใน Harry Potter เป็นต้น เราว่ามันเป็นหนึ่งในความโรแมนติกในทุก ๆ ความสัมพันธ์ มันเป็นหนึ่งในความหมายสำคัญของคำว่า “บ้าน”
Bones and All จึงเป็นเหมือนรักโรแมนติก ที่เต็มไปด้วยสารที่ไม่โรแมนติก (ถึงแม้ในชีวิตจริง อาจมีคนพยายาม romanticize มันก็ตาม) หลัก ๆ หนังพูดถึงกลุ่มคนที่มีความแตกต่างหรือกลุ่มคนชายขอบ รวมถึงกระทั่งเด็กติดยา เด็กกำพร้า และ LGBTQs (หนังเซตเรื่องอยู่ในช่วงยุค 1980s) ซึ่งมีทางเลือกในชีวิตอย่างจำกัด ครอบคลุมทั้งประเด็นความอดอยากยากจน ความไร้หลักแหล่ง และความจำเป็นในการเอาตัวรอด
“the world of love wants no monsters in it.”
ฉากที่ Maren คุยกับ Lee ในโรงเรือนเลี้ยงวัว เกี่ยวกับพ่อแม่ของวัวแต่ละตัว มันทำให้เราฉุกคิดได้ว่า นี่อาจไม่ใช่หนังเกี่ยวกับมนุษย์กินคนทั่วไป แต่นี่อาจเป็นหนังเกี่ยวกับมนุษย์อย่างเรา ๆ ที่กินเนื้อสัตว์ เช่น วัว หมู ไก่ เป็ด ฯลฯ เป็นอาหาร และพยายามสร้าง “ข้ออ้างทางศีลธรรม” หรือความจำเป็นในการกินพ่อ, แม่, ลูกของคนอื่น เหมือนกับที่ตัวละคร Eaters ในหนังกระทำก็เป็นได้
หนังทำให้เราออกจากโรงมาแล้ว วิถีที่เรามองคนที่เดินผ่าน และสิ่งรอบตัวมันแตกต่างจากเดิม เช่น เรามองคนแล้วเราจะนึกถึงคนที่อยู่ข้างหลังเขาตามไปด้วย ซึ่งนั่นอาจทำให้เราเห็นอกเห็นใจ เข้าใจ หรือปฏิบัติต่อเขาแตกต่างออกไปไม่มากก็น้อย หรือเวลาเรามองสิ่งของต่าง ๆ ในบ้านเราเอง เราก็เริ่มระลึกถึงสตอรี่ของสิ่งของนั้น ๆ และความสัมพันธ์ของมันกับตัวเราเอง เรารู้สึกว่า เราต่างเกี่ยวพันและมีผลกระทบต่อคนหรือสิ่งรอบข้างซึ่งกันและกันอย่างเลี่ยงไม่ได้
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เราเห็นตัวเองใน Maren และ Lee โดยเฉพาะตัวเองในตอนวัยรุ่น ทั้ง Timothée Chalamet และ Taylor Russell ไม่ใช่แค่ถ่ายทอดความเป็นตัวแทนของคนชายขอบได้อย่างยอดเยี่ยม หากแต่เคมียังเข้ากันอย่างเหลือเชื่ออีกต่างหาก รวมถึง Mark Rylance ก็แสดงได้ดีสมราคาออสการ์ ส่วน Luca Guadagnino ก็ยังคงเป็นผู้กำกับที่เก่งเรื่องการเล่าเรื่องและเล่นอารมณ์ของคนดูอย่างเฉียบลึกเช่นเคย ทำให้ Bones and All เป็นหนึ่งในหนังที่เราชอบที่สุดในปี 2022 อย่างไม่ต้องสงสัย