หลังจากได้ดู Ready Player One เมื่อต้นปี 2018 เราก็ได้รู้จักและได้รู้ว่า The Shining (1980) ของ Stanley Kubrick เป็นหนังสยองขวัญที่ adapt จากนิยายชื่อเดียวกัน (ปี 1977) ของ Stephen King และหนังก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในยุคนั้น เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชม นักวิจารณ์ และเป็นแรงบันดาลใจของหนังสยองขวัญในยุคหลัง ๆ หลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะในด้านของการสร้างบรรยากาศความสยองขวัญ อย่างไรก็ตาม เจ้าของนิยายต้นฉบับอย่าง King กลับเกลียดหนังเรื่องนี้ที่สุดในบรรดาหนังต่าง ๆ ที่ดัดแปลงจากงานเขียนของเขา
The Shining (1980) เล่าถึง Jack Torrance ที่ได้รับการว่าจ้างให้ไปเฝ้าโรงแรมดิโอเวอลุค (The Overlook Hotel) ในช่วงฤดูหนาวที่โรงแรมปิดทำการ เขาก็หอบภรรยาและลูกชายตัวเล็กไปเฝ้าโรงแรมด้วยกัน และจากนั้นโรงแรมนรกแห่งนี้ก็ค่อย ๆ กลืนกิน Jack เข้าไป มีแต่ภรรยากับลูกชายที่รอดจากคืนวันนั้นมาได้
เรื่องย่อ Doctor Sleep
Doctor Sleep (2019) เป็นภาคต่อของ The Shining และสร้างจากนิยายชื่อเดียวกัน (ปี 2013) ความยาว 531 หน้าของ King อีกเช่นเดิม โดยภาคนี้เล่าเรื่องของ Dan Torrance (Ewan McGregor จาก Star Wars: Episode I) เด็กชายผู้มีพลังพิเศษ (Shining) ที่รอดพ้นจาก The Overlook Hotel ในคืนนั้น
Dan ในช่วงใกล้เข้าสู่วัยกลางคน ติดสุราเรื้อรัง และยังคงเก็บงำพลังพิเศษนั้นไว้กับตัว จนกระทั่งวันหนึ่งได้มาเจอเพื่อนใหม่ Billy Freeman (Cliff Curtis จาก 10,000 BC) ที่พาเขาไปบำบัดจนกลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง และ Dan ยังได้รับการติดต่อจากเด็กหญิงที่มีพลังพิเศษเหมือนกันคือ Abra (Kyliegh Curran)
Abra ค้นพบว่า มีลัทธิ True Knot นำโดย Rose the Hat (Rebecca Ferguson จาก Mission: Impossible – Rogue Nation) ที่ไล่ล่า ตามฆ่า และดูดพลังจากเด็กผู้มีพลังพิเศษอย่าง Dan กับ Abra เป็นอาหาร ทำให้ Dan ต้องใช้พลังที่พยายามเก็บไว้มานานและยื่นมือเข้าไปช่วย Abra กำจัดพวก True Knot
รีวิว/วิเคราะห์/วิจารณ์ Doctor Sleep
ในขณะที่ The Shining มีความเป็นหนังผี/หนังสยองขวัญ… หนัง Doctor Sleep ของ Mike Flanagan (ผู้กำกับ The Haunting of Hill House ซีรีส์ดังของ Netflix) จะไปในอีกทิศทางหนึ่ง คือแทบทั้งเรื่องจะมีความ X-Men หรือมนุษย์กลายพันธุ์ แล้วในช่วงองก์สุดท้ายค่อยกลับมาที่ The Overlook Hotel (ซึ่งปัจจุบันเป็นโรงแรมร้าง) อีกครั้ง ซึ่งผู้กำกับก็ดูพยายามบาลานซ์ระหว่างความเคารพต้นฉบับของ Stephen King กับการสร้างหนังภาคต่อให้ The Shining ของ Stanley Kubrick มันสมดุล
The Shining กับ Doctor Sleep ต่างมีเรื่องราวของใครของมัน ทิศทางของหนังก็ค่อนข้างคนละมู้ดแอนด์โทน ถึงแม้จะไม่เคยดู The Shining มาก่อนก็ดู Doctor Sleep รู้เรื่องได้อยู่ เพียงแต่มันอาจจะไม่อินเท่าหรือเข้าไม่ถึงจุดบางจุดที่เชื่อมโยงหรือ refer กับภาคแรกก็เท่านั้น เช่น ภาคนี้มีแก๊ง True Knot ที่เป็นคนกัดกินคน ภาคนั้นก็มีโรงแรมที่เป็นสถานที่ที่กัดกินคน . เป็นต้น
Doctor Sleep เป็นหนังที่ยาวมาก ๆ (สองชั่วโมงครึ่ง) เพราะหนังเน้นสร้างบรรยากาศ ไม่ตุ้งแช่ และก็พยายามเล่าทุกอย่าง ปูพื้นให้กับทุกอย่าง ตั้งแต่พากลับไปดูตั้งแต่ Dan ยังเด็ก เพิ่งหลุดพ้นจากโรงแรมมาหมาด ๆ, ตอน Dan วัยกลางคนติดสุราเรื้อรัง, ตอน Dan เป็นผู้เป็นคนและมาทำงานในโรงพยาบาล ฯลฯ
โดยการถ่ายทำอะไร ๆ ที่เป็นพาร์ทย้อนไปยุคนั้น หรือกระทั่งการพากลับไปที่โรงแรม หนังเค้าก็เนรมิตสถานที่ขึ้นใหม่และแต่งเสื้อผ้าหน้าผมให้นักแสดงปัจจุบันซะเหมือนคนเก่าเป๊ะ ถ้าเค้าไม่บอกหรือเราไม่รู้มาก่อน ก็คงคิดว่าเค้าเอาฟิล์มแผ่นเดิมจาก The Shining มาตัดแต่งใหม่ให้ดู
นอกจากการปูเรื่องให้ Dan แล้ว หนังก็ยังปูเรื่องให้ตัวละครอื่นด้วย เช่น เจ้าหนู Abra ก็ได้รับการปูพื้นไปตั้งแต่ตอน 5 ขวบที่เธอใช้พลังออกสื่อครั้งแรกจนพ่อแม่อ้าปากค้าง และฝั่งตัวร้าย Rebecca Ferguson ก็ได้รับการปูหมด ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าเด็กชายผู้มีพลังพิเศษ (Jacob Tremblay จาก Room) เพื่อเอาพลังมาสูบกิน และการเปลี่ยนเด็กผู้มีพลังพิเศษกล้าแกร่ง (Emily Alyn Lind) เพื่อมาเป็นพวกเดียวกัน
ซึ่งทุกอย่างที่เขาเล่า ไม่ว่าจะน้ำหรือจะเนื้อ เราก็เข้าใจว่ามันล้วนสำคัญหมด ถ้าเราเป็น Mike Flanagan กับ Stephen King เราก็คงไม่อยากตัดส่วนใดส่วนหนึ่งออกไปอีกแล้วเหมือนกัน และในฐานะคนดูที่เคยดู The Shining มาก่อนและค่อนข้างโอเคกับ The Shining ก็รู้สึกเอ็นจอยกับ Doctor Sleep ตลอด รู้สึกว่าหนังนานแต่ก็ไม่รู้สึกว่าหนังน่าเบื่อแม้แต่น้อย
หนังเองก็ดูไม่ยาก เพราะมีความชิงไหวชิงพริบสับหลอกกันระหว่างตัวละครทั้งสองฝ่ายที่ดูได้สนุก ๆ และมีความ X-Men อย่างที่บอก แต่ก็เป็น X-Men ที่ไม่เว่อร์จนเหนือจริงมากเกินไป เพราะคอนเซ็ปต์ของพลังพิเศษในเรื่องนี้คือ เราทุกคนล้วนมี Shining ของตัวเอง ขึ้นอยู่กับว่าจะมากจะน้อย จะเปิดจะปิด ฯลฯ เช่น แค่เป็นคนดูคนออก ดูคนเก่ง ก็นับว่าเป็นพลังพิเศษแล้ว เพียงแต่พวกที่มีพลังจิตควบคุมนี่นั่นโน่นได้อย่างหนู Abra (หรือแบบ Jean Grey ใน X-Men) ก็จะจัดเป็นพวกมีพลังขั้นสูงหน่อย
เสียดายก็แต่ฝั่งตัวร้าย อยู่มาตั้งหลายร้อยปี บางตัวอยู่มาตั้งแต่สมัยโรมันยังรุ่งโรจน์ บางตัวก็คือเป็นมนุษย์ที่มีพลังพิเศษเว่อร์วัง (เช่น สะกดจิตได้) แล้วถูกเทิร์นมาเป็นแก๊งมนุษย์กินคนอีกที แต่สุดท้ายแต่ละตัวก็ดูตายง่าย ไม่ได้โชว์พลังหรือสกิลอะไรมากมายนัก คือเหมือนแค่คนธรรมดาที่มากินมนุษย์พิเศษเพื่อให้ตัวเองอายุยืนนานเป็นพิเศษเฉย ๆ ก็แค่นั้น (ขีดเส้นใต้ว่า พวกนางไม่ได้กินเด็กเพื่อเป็นอมตะ แต่กินเพื่อชีวิตยืนยาวขึ้น แก่ตายช้าขึ้น) มีก็แต่ Rose the Hat (Rebecca Ferguson) ที่ดูเหนือชั้นขึ้นมากว่าตัวอื่น ๆ ในแก๊งอย่างก้าวกระโดด
แต่โดยภาพรวมแล้ว Doctor Sleep ก็เป็นหนังที่ทำได้ดี ติดแค่ว่าหนังยาวไปหน่อย เพราะพยายามเล่าแบบเล่านิยายเยอะไปหน่อย แต่ก็โอเค ไม่ได้ชวนหลับขนาดนั้น ช่วง 30 นาทีสุดท้ายที่พากลับไปเยี่ยมโรงแรมดิโอเวอลุค ก็มีมนต์ขลัง… ที่คนที่เคยดู The Shining มาก่อนจะสัมผัสมันได้ เราจะเข้าใจ Dan มากขึ้นว่าทำไมที่นี่เต็มไปด้วยความน่าหวาดกลัวอย่างไรบ้าง
หนังทำให้เราเห็นว่า เราจำเป็นต้องจัดการกับความกลัวหรืออดีตที่ตามหลอกหลอนเราให้ได้ คือเราต้องกล้าเผชิญหน้ากับมัน อาจจะเก็บล็อคมันไว้ในมุมใดมุมหนึ่งในหัวสมองของเรา แต่ไม่จำเป็นต้องอยู่กับความหวาดกลัวนั้นตลอดเวลาจนปล่อยให้มันมากัดกินความเป็นคนของเรา และที่สำคัญ เมื่อถึงเวลา บางทีเราสามารถหยิบเอาความกลัวนั้นออกมาใช้ประโยชน์ได้ เช่นเดียวกับพลังพิเศษของแต่ละคน ที่เราต้องรู้จักจัดการกับมัน เมื่อไหร่ควรเก็บ และเมื่อไหร่ควรใช้
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 7.5/10
26 comments
Comments are closed.