ถึงแม้ Dune Part One ของเสด็จพ่อ Denis Villeneuve จะค่อนข้าง cliffhanger หรือทิ้งคนดูไว้กลางทะเลทราย เพราะหนัง Dune Part One สร้างจากนิยายเพียงครึ่งเล่มแรกเท่านั้น ส่วนครึ่งเล่มหลังจะเล่าต่อในหนัง Dune Part Two แต่โดยรวม หนังก็ได้การตอบรับอย่างดี จนถึงได้ออสการ์ 6 สาขา จากการเข้าชิง 10 สาขา และเราก็ต้องยอมรับว่า มันดีกว่าการพยายามยัดทุกอย่างในหนังสือลงในฟิล์มม้วนเดียวจบแล้วลงเอยที่ความพังพินาศเหมือนหนังและซีรีส์เวอร์ชั่นเก่า ๆ เพราะนิยายที่ Frank Herbert เขียนไว้ตั้งแต่ปี 1965 เป็นหนังสือที่หนามาก ๆ ตัวละครเยอะ โลกเยอะ และธีมค่อนข้าง deep & complex เช่น ศาสนาและการเมือง
คนอ่านนิยายโดยทั่วไปจะทราบกันดีว่า นิยายมักแบ่งเป็น 3 องก์ (Act) องก์ 1 มักเป็นแค่การปูเรื่องและตัวละคร มีสัดส่วนประมาณ 25% ของหนังสือ, องก์ 2 เริ่ม developing & rising มีสัดส่วนประมาณ 50% ของหนังสือ, และองก์ 3 ที่เป็น climax & resolution อยู่ที่ 25% ของหนังสือ
หนัง Dune Part One ซึ่งสร้างจากครึ่งแรกของหนังสือ เน้นการแนะนำแบ็คกราวนด์ตัวละครและ setup จักรวาล หรือ world-building (เช่น ดาว Caladan, ดาว Arrakis, ชาว Fremen และตระกูลต่าง ๆ ฯลฯ) ไปแล้วเกินกว่าครึ่งเรื่องของหนัง แล้วให้ฉากที่ตระกูล Harkonnen โจมตีตระกูล Atreides และสังหาร Duke Leto (Oscar Isaac จาก Star Wars) เป็น climax ของหนัง ซึ่งทั้งหมดนี้ Villeneuve ทำได้ยอดเยี่ยมสำหรับการสร้างหนังที่ฉีกนิยายต้นฉบับออกเป็นสองพาร์ท เพราะนี่เป็นการแบ่งนิยายเพื่อการเล่าเรื่องที่ดีขึ้นในหนังและเพิ่มมูลค่าให้ source material จริง ๆ ไม่ใช่เพื่อรายได้หรือ box office (The Hunger Games กับ Divergent ควรได้ดูงาน)
ใน Dune Part Two นี้ Villeneuve มอบให้ทุกอย่างที่เคยสัญญาไว้ ก็คือฉากแอ็คชั่นตระการตาที่เยอะขึ้น และทำถึงจริง เราพูดมาเสมอว่า Villeneuve เป็นผู้กำกับที่มีจินตนาการล้ำเลิศ ผลงานของเขามีความอาร์ต มินิมอล น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ ที่ไม่ใช่แค่มี visual และ production design ที่สวยโดดเด่น แต่เขาเก่งในการเล่าเรื่องด้วยภาพและเสียงมากกว่าการ rely on บทพูดหรือไดอะล็อก โดยในช่วงองก์แรกของหนังภาคนี้ เขาก็ยังทุ่มเวลาให้กับการพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละคร โดยเฉพาะ Paul & Chani ซึ่งเป็นส่วนผสมที่สำคัญมากกับฉากไคลแมกซ์และฉากจบของหนัง ในภาคนี้ Zendaya จึงมีบทบาทสำคัญและได้โชว์ศักยภาพทางการแสดงสมการรอคอย
Dune ทั้งสองภาคถ่ายภาพโดย Greig Fraser ผู้เคยเข้าชิงออสการ์สาขา cinematography จาก Lion, Zero Dark Thirty, Foxcatcher, Rogue One: A Star Wars Story ฯลฯ และได้ออสการ์ตัวแรกจาก Dune Part One ที่ผ่านมา โดยใน Dune Part Two นี้ เขายกระดับงานถ่ายภาพของเขาไปอีกขั้น กับการออกแบบแสงและสีบนดาวต่าง ๆ อย่างมีนัยสำคัญ ภาพแต่ละซีนคือ breathtaking
นอกจากนี้ Dune ทั้งสองภาค ยังได้ score composer คนดังที่เคยชิงออสการ์จาก Dunkirk, Interstellar, Inception, Gladiator, The Lion King ฯลฯ อย่าง Hans Zimmer มาแต่งเพลง (score) ให้ ซึ่งงานของเขายังคงทรงพลังและติดหูเช่นเดิม และในภาคนี้ เขาก็ตั้งใจแต่งเพลงให้ Harkonnen และความรักอันเจ็บปวดซับซ้อนของ Chani ที่มีต่อ Paul ด้วยเช่นกัน
Dune Part Two เล่าเรื่องต่อจากจุดที่จบไว้ใน Dune Part One เลย ก็คือ Paul Atreides (Timothée Chalamet จาก Call Me by Your Name) และ Lady Jessica (Rebecca Ferguson จาก Mission: Impossible) ได้มาเข้าร่วมกับกลุ่ม Fremen และ Paul ได้พัฒนาความสัมพันธ์กับ Chani (Zendaya จาก Spider-Man) นักรบหญิงแห่ง Fremen
Paul ได้เรียนรู้วิถี Fremen รวมถึงการฝึกขี่หนอนทะเลทราย ได้สมญาใหม่ว่า Muad’Dib ส่วนแม่ของเขาก็ได้เป็นแม่ใหญ่ (Reverend Mother) ก่อนที่จะได้ reunion กับ Gurney Halleck (Josh Brolin จาก Avengers) เมนเทอร์ของเขา พวกเขาค่อย ๆ สร้าง propaganda ให้ชาว Fremen เชื่อในตัว Paul มากขึ้นว่านี่คือ “The Chosen One” ดั่งคำพยากรณ์ โดยมี Stilgar (Javier Bardem จาก No Country for Old Men) ผู้นำกลุ่ม Fremen เป็นสาวกตัวยง
ฝั่ง Harkonnen ก็เริ่มระส่ำระส่ายเพราะ Fremen นำโดย Muad’Dib หรือ Paul โจมตีและขัดขวางการเก็บเกี่ยวสไปซ์ไม่เว้นวัน Baron Vladimir (Stellan Skarsgård จาก Thor) เห็นว่า Rabban (Dave Bautista จาก Guardians of the Galaxy) หลานชายของเขาคอนโทรลไม่ได้ เขาจึง Feyd-Rautha (Austin Butler จาก Elvis) หลานชายคนเล็ก (และคนโปรด) เข้ามาเทคโอเวอร์แทน
ฝั่งจักรพรรดิก็มีเหตุให้อยู่ไม่สุขเช่นกัน แต่ Emperor Shaddam IV (Christopher Walken จาก Catch Me If You Can) แทบไม่ทำอะไรเลย รอแต่ให้เจ้าหญิง Irulan (Florence Pugh จาก Little Women) ลูกสาวของเขาและหวังพึ่งแต่ความเห็นชี้นำจาก Reverend Mother Mohiam (Charlotte Rampling จาก 45 Years) ซึ่ง Reverend Mother Mohiam เป็นจอมวางแผน เจ๊แกก็ส่ง Lady Margot Fenring (Léa Seydoux จาก Spectre) ไปทำภารกิจที่บ้าน Harkonnen อีกที เพื่อเป็น backup plan
ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ Dune ทั้งสองภาค ทีม cast ที่ล้วนแข็งแกร่งและเปี่ยมคุณภาพ มันคือ “ทีม” ที่ไม่ใช่แค่ให้ Paul หรือ Timothée Chalamet หรือใครคนใดคนหนึ่งเป็นตัวเด่นที่สุด เพราะ Villeneuve ไม่ได้จะทำให้มันเป็นหนังของ Timothée Chalamet ไม่ได้ต้องการคนดูต้อง take side ไม่ได้อยากยกให้ Paul เป็นฮีโร่หรือพระเจ้า จนกลบแก่นสารสำคัญของธีมศาสนา ความเชื่อ และเกมการเมืองไป แต่ถึงกระนั้น Timothée Chalamet ก็ยังคงโชว์ศักยภาพการแสดงผ่านความซับซ้อนทางอารมณ์และการพัฒนาอย่างไต่ระดับทุกนาทีของตัวละคร Paul Atreides
โดยเราจะเห็นได้ชัดใน Dune Part Two ที่เขาตั้งใจรังสรรค์ตัวละครที่จริง ๆ ต้องเรียกว่า “ร้ายสุดขั้วชั่วสุดขีด” อย่าง Na-Baron Feyd-Rautha ให้มีมิติ มีแบ็คกราวนด์ ประกอบกับการแสดงของ Austin Butler ที่ทำให้ Feyd-Rautha เป็นตัวร้ายที่ใคร ๆ ก็ต้องพูดถึงและหลายคนยกให้เป็นอีกหนึ่งตัวร้ายขึ้นหิ้งในโลกภาพยนตร์ (เรารัก Timothée Chalamet มากนะ แต่ Austin Butler ก็ทำให้เราแบ่งปันหัวใจไปให้ได้จริง ๆ ทั้งที่ในหนังคิ้ว-ผมโล้นและหน้าโรคจิตเบอร์นั้น)
ทั้งนี้ ในฐานะของคนที่อ่านหนังสือนิยายมาก่อน เรายังรู้สึกว่า ในส่วนของบทดัดแปลงของ Villeneuve กับ Jon Spaihts (คนเขียนบทร่วม) ก็ยังมีจุดขรุขระอยู่บ้าง เช่น ง่าย ๆ คือ Thufir Hawat (Stephen McKinley Henderson) ก็หายไปเลยโดยไม่มีแม้แต่การเมนชั่นถึง แต่ถ้าในนิยายครึ่งหลังนี้ Hawat ต้องไปอยู่กับ Harkonnen อย่างไรก็ตาม บางส่วนเขาก็ดัดแปลงได้เหมาะสมดี เช่น นอกจากการเพิ่มน้ำหนักให้ Feyd-Rautha แล้ว ยังเพิ่มซีนให้เจ้าหญิง Irulan ได้โชว์ความเป็นหญิงแกร่งเด็ดเดี่ยวได้เหมาะสม และในหนังภาคนี้ ลูกชายและน้องสาวของ Paul ยังไม่ได้ถือกำเนิดขึ้น แต่หนังก็ปูให้คนดูเห็นตั้งแต่น้องสาวยังอยู่ในครรภ์แม่ว่า ยัยเด็กคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน (ซึ่งในหนังสือ เราบอกได้เลยว่า น้องเป็นตัวจี๊ดปากแจ๋วตัวหนึ่งเลยทีเดียว ชอบมาก)
โดยรวม เรายังคิดว่านี่เป็นบทดัดแปลงที่ยอดเยี่ยม จัดการกับ source material ที่ยั๊วเยี๊ยะได้ดี และหนังก็ทำได้สนุกกว่าหนังสือมาก ขนลุก ทรงพลัง คือมัน “ล้ำ” เหนือจินตนาการและความคาดหมายไปไกลมาก จนเราอยากจะได้สมองสักเสี้ยวหนึ่งของ Villeneuve มาแปะไว้ในหัว และอยากจะมีโรง IMAX อยู่ที่บ้าน เพื่อที่จะได้เสพงานของแกบ่อยที่สุดเท่าที่จะบ่อยได้ โดยเฉพาะ Dune ทั้งสองภาค ที่ ณ นาทีนี้ ไม่ได้ขึ้นแท่นเป็นแค่หนังโปรดในดวงใจตลอดกาลของเราเท่านั้น แต่นี่คือหนังไซไฟและประสบการณ์การดูหนังในโรงภาพยนตร์ที่ดีที่สุดแห่งยุคอย่างแท้จริง