ถ้าบอกว่า ทุกวันนี้ J.K. Rowling กำลังนั่งกินบุญเก่า จาก Harry Potter ก็คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริงเกินไปนัก เพราะนอกจากหนังสือ ของเล่น ของสะสม สวนสนุก ฯลฯ ที่ตีแบรนด์ Harry Potter ล้วนทำเงินให้เธออย่างต่อเนื่องจนธนาคาร Gringotts ต้องยกเป็นลูกค้าระดับ VVIP แม้กระทั่งตอนที่ Fantastic Beasts and Where to Find Them กำกับโดย David Yates (ผู้กำกับ Harry Potter ภาค 5, 6, 7.1, และ 7.2) เข้าฉายครั้งแรกเมื่อปี 2016 ชาว Muggles และ Potterheads ต่างต้อนรับขับสู้อย่างดีและตื่นเต้นกันมากที่จะได้กลับไปโลกผู้วิเศษอีกครั้ง
สำหรับเรา Fantastic Beasts and Where to Find Them (2016) เป็นการสร้างภาคแยกที่ยอมรับได้ แต่พอภาคสอง หรือ Fantastic Beasts: The Crime of Grindelwald (2018) มันเริ่มอีรุงตุงนัง งงธีม และเริ่มสงสาร Eddie Redmayne (จาก The Theory of Everything และ The Danish Girl) ที่สละอนาคตและโอกาสในการเล่นบทบาทที่สมมงมากมาย มาเล่นเป็น Newt Scamander ที่ตามทฤษฎี ควรจะได้เป็นตัวเอกและตัวเดินเรื่อง แต่ไป ๆ มา ๆ หลุดไปเป็นตัวสมทบเฉย

จริง ๆ ภาค 3 หรือ Fantastic Beasts: Secrets of Dumbledore (2022) มาดีเลย์กว่ากำหนดการเดิมถึงสองปี เพราะโควิดก็ด้วย ดราม่าการปลด Johnny Depp จากบทตัวสำคัญอย่าง Gellert Grindelwald ก็ด้วย ดราม่าเกี่ยวกับทัศนคติด้านเพศของ J.K. Rowling เองก็ด้วย ซึ่งเป็นช่วงที่ J.K. Rowling มีเวลาพัฒนาบทใหม่ตั้งมากมาย แถมภาคนี้ก็ได้ Steve Kloves (คนเขียนบทหนัง Harry Potter ทุกภาค) มาช่วยดูเรื่องบทแล้วก็ด้วย แต่สุดท้ายบทก็ยังคงไม่ดีขึ้น จนอยากจะส่งจดหมายกัมปนาทไปบอกให้ J.K. Rowling ยอมรับเถอะว่า “ป้าไม่ได้เกิดมาเพื่อเขียนบทภาพยนตร์!”
สามารถพูดได้ว่า สำหรับเรา Fantastic Beasts: Secrets of Dumbledore เละเทะและน่าเบื่อกว่าภาคก่อนได้อีก เวทมนตร์ไม่ขลังอีกต่อไป ไม่อินกับภารกิจของ Newt และเหล่าสหายเอาเสียเลย ง่วงมาก ไม่ติงเรื่องสเปเชี่ยลเอฟเฟ็กต์หรือฉากแอ็คชั่นนะ เพราะทำได้ดีตามมาตรฐาน แต่คนที่โตมากับโลก Harry Potter มาพร้อม ๆ กัน เขาก็โต ๆ กันหมดแล้ว และคนสมัยนี้ก็ไม่ได้นิยมเสพหนังแค่เพียงเปลือกนอก แต่ตัวบทต้องให้เกียรติสติปัญญาผู้ชมด้วย
Fantastic Beasts: Secrets of Dumbledore ไม่น่าติดตาม มันไปไม่สุดสักทาง ไม่ว่าจะประเด็นการเมือง เด็กกำพร้า ชายรักชาย ฯลฯ รวมถึงธีม “สัตว์วิเศษ” ที่หยิบเอามาใช้หากินตั้งแต่แรก แต่หลัง ๆ เหมือนถูกละเลย (นี่ขนาดเลิฟไลน์คู่ของ Newt แทบถูกตัดไปสิ้นแล้วนะ ยังรู้สึก overwhelmed ขนาดนี้) แม้แต่ตัวละคร Credence Barebone (Ezra Miller จาก Justice League) ที่ถูกยัดบทประหนึ่งเป็น Luke Skywalker มาในภาคก่อนหน้า ก็ยังถูกกลืนหายไปในภาคนี้ จนคนดูสับสนไปหมดว่า ป้าแกอยากขายอะไรกันแน่ หรือป้าสักแต่ว่าทำอะไรก็ได้เพราะรู้ว่ายังไงคนก็ยอมเสียเงินดู?
การมีอยู่ของ Newt Scamander และสัตว์วิเศษจำนวนหนึ่ง เหมือนยังคงมีอยู่ในลักษณะ “พยายามยัดเยียดให้มีอยู่” ด้วยความจำเป็น เพราะดันใช้ชื่อนั้นเปิดแฟรนไชส์ไปแล้ว ก็แค่นั้น… ในภาคนี้ นอกจากสัตว์วิเศษ 2 ตัวโปรดของ Newt กับตัวที่โปรโมทในเทรลเลอร์ไปแล้ว ก็มีน้องกิเลนมาใหม่ ที่พยายามให้น้องมีส่วนเอี่ยวและบทบาทสำคัญต่อเส้นเรื่องอย่างถึงที่สุด จนน้องกลายเป็นจุดอ่อน เพราะปูมาอย่างยิ่งใหญ่ว่าจะเป็นหนังสะท้อนการเมือง เหมือนจะเอา democracy ปะทะ fascism แต่สุดท้ายพ่อมด-แม่มดแพ้ทาง “สายมูเตลู” จน Muggles งงว่า “ถ้าป้าจะเอาคนที่กิเลนหมอบกราบมาเป็นผู้นำ แล้วป้าจะจัดเลือกตั้งไปแต่แรกทำเพื่ออออ?”
จริง ๆ ถ้าตอนแรกเขาจะขมวดให้ Fantastic Beasts จบลงที่ภาคนี้เลยก็ได้นะ ไม่เกี่ยงนะ ไม่จำเป็นต้องฝืนทำให้ครบ 5 ภาคตามที่สัญญาไว้แต่แรกก็ได้ เพราะถ้าขืนยังดันทุรังต่อไป โดยที่ไม่พัฒนาหรือแก้ไข มันก็ดีแต่จะทำชื่อเสียไปทำลายชื่อเสียงที่อุตส่าห์สร้างสมมา
ป.ล. สรุป ความลับของดัมเบิลดอร์คืออะไร? ทำไมมันรู้สึกไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนเอาซะเลย…
1 comment
Comments are closed.