เป็นเวลา 20 ปีแล้ว นับตั้งแต่ Fast & Furious ออกฉายครั้งแรก วันนี้แก๊งครอบครัวนักซิ่งของ Dominic Toretto (Vin Diesel) ก็พาพวกเราเดินทางมาจนถึงภาค 9 ซึ่งไร้เงาของ Brian (Paul Walker) ไปแล้วตั้งแต่ภาค 7.5 (Paul Walker เสียชีวิตขณะที่หนังภาค 7 ถ่ายทำไปได้เพียงครึ่งเดียว) แล้วภาค 8 เขาก็กลับมาเพียงแค่ชื่อว่า หลังจากเขากับ Mia (Jordana Brewster) มีลูก เขาก็ขอวางมือออกจากวงการ
ใน Fast 9 แรกเริ่มก็เหมือน Dom กับ Letty (Michelle Rodriguez) จะวางมือไปใช้ชีวิตธรรมดา ๆ กับลูกชายแล้วเหมือนกัน แต่เพื่อน ๆ ตั้งแต่ Roman (Tyrese Gibson), Tej (Ludacris), และ Ramsey (Nathalie Emmanuel) ก็มาชวนกันครบแก๊ง ให้กลับมารับงานใหญ่ (เออ มาตื๊อแต่บ้านนี้ด้วยนะ ไม่ตื๊อบ้าน Brian กับ Mia)
ณ ขณะทำภารกิจ พวกเขาได้รู้ว่า หนึ่งในตัวปัญหาสำคัญคือ Jakob (John Cena) น้องชายแท้ ๆ ของ Dom และพี่ชายแท้ ๆ ของ Mia ที่หนังไม่เคยเมนชั่นถึงมาก่อน (จู่ ๆ family tree ของ Dom ขยายเฉย…) ร่วมมือกับ Otto (Thue Ersted Rasmussen) ลูกเศรษฐีเผด็จการ และ Cipher (Charlize Theron) ตัวแม่คนเดิมจากภาคที่แล้ว แล้วพอ Mia รู้เรื่อง Jakob เธอก็ขอมาร่วมทีมช่วยอีกแรง (ส่วน Brian ที่บู๊เก่งกว่า ซิ่งเก่งกว่า อยู่บ้านเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานจ้ะ…)
“No matter how fast you are, no one outruns their past”
และเพื่อชดเชยที่หนังไม่เคยพูดถึง Jakob มาก่อน หนังก็พาเราย้อนไปอดีตของ Dom ตั้งแต่ปี 1989 ซึ่งเป็นปีที่สามพี่น้องต้องสูญเสียพ่อ (J. D. Pardo) และเป็นจุดแตกหักของ Dom กับ Jakob โดยใช้นักแสดงคนละคนทั้งหมด ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีดึงหน้าเหมือน Nick Fury ใน Captain Marvel แต่อย่างใด (ซึ่งเราก็สงสัยตลอดทุกซีนที่ย้อนอดีตว่า ทำไมไม่ใช้ ทีตอนภาค 7 เอาหน้า Paul Walker ทับซ้อนกับสแตนด์อินซึ่งเป็นพี่ชายของ Paul Walker ยังทำมาแล้วเลย)
อย่างไรก็ตาม เราก็รู้สึกว่า John Cena ดูเป็นพี่น้องนอกไส้ของ Dom และ Mia ไปสักหน่อย ก็คือเขาค่อนไปทาง nordic มากกว่า หนังไม่ได้บอกตรง ๆ หรอกว่าเป็นพี่น้องคนละแม่ (หรือบอก… แต่ตอนนั้นเราสัปหงกอยู่?) แต่ต่อให้ Jakob จะเป็นพี่น้องแม่เดียวกันหรือคนละแม่ก็ตาม เราก็รู้สึกว่า miscast อยู่ดี และโดยปกติแล้ว เราว่า John Cena โดดเด่นกว่านี้จากการแสดงเรื่องอื่น ๆ แต่ในเรื่องนี้ แทบไม่มีความน่าจดจำ แม้แต่ฉากเปิดตัวและฉากส่งท้าย
แต่ก็อย่างว่า Fast & Furious เป็นหนังเน้นรถ และความเว่อร์วังเหนือกฎฟิสิกส์ ไม่ได้เน้นการแสดงหรือตัวบทแต่อย่างใดมาแต่ไหนแต่ไร นักแสดงคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้แสดงดีอะไรสักคน ยกเว้นตัวละคร Roman ที่ยังมีซีนเล่นมุกตลกมาขโมยซีนหรือเพิ่มสีสันอยู่เรื่อย ๆ แล้วก็ตัวพ่อตัวแม่แห่งวงการที่มาช่วยดึงมีน overall performance ของแฟรนไชส์ภาคแล้วภาคเล่า อย่าง Kurt Russell กับ Helen Mirren ก็ได้ออกกันคนละซีนสองซีน โดยความพิเศษของภาคนี้คือ เราจะได้เห็น Helen Mirren ในวัย 76 ปี ซิ่งรถซูเปอร์คาร์กลางกรุงลอนดอน
นอกจากนี้ หนังยังไปขุดเอา Han (Sung Kang) หนึ่งในสมาชิกที่ตายไปหลายปีแล้ว กลับมาร่วมทีมอย่างง่าย ๆ ซื่อ ๆ พร้อม Elle (Anna Sawai) เด็กสาวในความดูแลของ Han ตามที่เราเห็นกันในเทรลเลอร์แล้ว แต่ก็แค่นั้นแหละ เพราะสุดท้าย Han กับ Elle ก็ไม่ได้มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันขนาดนั้น นอกจากความพยายามยัดเยียดความสำคัญให้น้อง Elle แต่สิ่งที่เราชอบคือ ฉากบู๊เปิดตัวของน้อง Elle ที่ช่วยทำให้เรากลับมาตื่นขึ้นบ้าง เพราะก่อนหน้านี้คือ เกือบจะหลับคาโรงไปแล้ว
ตอนที่เราบอกว่า เราเลิกคาดหวัง “ความสมเหตุสมผล” ของแฟรนไชส์ Fast & Furious ไปนานแล้ว เราหมายถึง เรายอมรับได้ถ้าฉากแอ็คชั่นซิ่งรถทั้งหลายจะเวอร์วังเกินจริง หรือขัดต่อ “หลักการฟิสิกส์” กี่ร้อยข้อพันกฎตราบใดที่มันยังตอบโจทย์ความบันเทิงได้อยู่ (อย่างภาคนี้ จะไปอวกาศจริง ๆ เราก็… โอเค… ได้!) แต่เราก็ไม่คิดว่า พาร์ทอื่นมันจะเมคเซนส์น้อยลงเรื่อย ๆ ทุกภาค ๆ ขนาดนี้
ถ้าให้ทิ้งสมองไว้หน้าโรง แล้วรอดูแต่ฉากแอ็คชั่นเอาสะใจอย่างเดียวก็อาจจะพอได้อยู่ แฟรนไชส์ก็พยายามสรรหามุกใหม่ ๆ มาเล่นไม่รู้จบ หรือแม้แต่เอาคนขับรถไม่เป็นมาขับรถไล่ล่า เพื่อให้ได้มุกใหม่ให้โลกจำ เขาก็เอา แต่นอกเหนือจากนั้น เอาจริง เราว่า เราก็เห็นฉากเด็ด ๆ แทบทั้งหมดมาก่อนแล้วตั้งแต่เทรลเลอร์ ไม่ว่าจะฉากรถซิ่งข้ามฝั่งหน้าผา, รถถูกแม่เหล็กดูดตู้มต้ามกลางถนน ฯลฯ ส่วนรถในภาคนี้…. (อันนี้ความเห็นส่วนตัวมาก ๆ) สำหรับคนไม่ค่อยรู้จักรถอย่างเรา… เราคิดว่าเรายังไม่ค่อยเห็นรถคันไหนในภาคนี้ที่โดดเด่นเท่าไหร่ อย่างภาค 7 ก็มีรถของเจ้าชายที่สวยมาก และภาค 8 ก็มีรถสีส้มของ Roman ที่มองมาจากดาวอังคารก็เห็น (หรือภาคนี้ รถที่ Helen Mirren ขับ คือเด่นที่สุดแล้ว?)
โดยสรุป เราคิดว่า Fast 9 คือสองชั่วโมงครึ่งที่ทรมาน ถึงแม้ฉากแอ็คชั่นจะเล่นใหญ่และจัดเต็มแค่ไหน แต่ความสนุกโดยรวมมันไม่ถึงอยู่ดี เพราะการแสดงอันว่างเปล่าทำให้พาร์ทดราม่าไม่ดราม่า พาร์ทครอบครัวที่เคยเป็นหัวใจของเรื่องกลับเริ่มเบาโหวงและดูฝืน ดูพยายามจนเหมือนยัดเยียด บท…ที่ปกติก็ไม่เคยสมเหตุสมผลอยู่แล้วในด้านวิทยาศาสตร์ก็พากันไม่สมเหตุสมผลกันไปให้หมดในทุก ๆ ด้าน แต่สุดท้ายแฟรนไชส์นี้ก็ยังจะไปต่อไปถึงภาคเลขสองหลัก…. ก็หนังมันขายได้… ฉันจะมี 10 มี 11… ใครจะทำไม…
ป.ล. มีฉาก mid-credits หนึ่งซีน ถ้าเป็นแฟนของแฟรนไชส์นี้ ก็ควรรอดู
2 comments
Comments are closed.