คอนเซ็ปต์ของหนัง Free Guy ของผู้กำกับ Shawn Levy (จาก Stranger Things และ Night at the Museum) ทำให้เรานึกถึง Ready Player One หนังที่ตัวละครไปใช้ชีวิตในโลกของเกม และมีความเชื่อมโยงกับ pop culture มากมาย ในขณะเดียวกัน ช่วงแรก ๆ ของหนังก็มีความชวนระลึกถึง The Truman Show ตรงที่ตัวละครเอกอยู่ในโลกจำลองนั้น โดยที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในโลกจริง ๆ
don’t just have a good day…have a great day!
เรื่องราวหลักของ Free Guy เกิดขึ้นที่ Free City ซึ่งเป็นเมืองจำลองในเกม RPG (Role-Playing Game) ยอดนิยม ผลิตโดยบริษัท Soonami ของ Antwan (Taika Waititi จาก Jojo Rabbit) ส่วนตัวละครเอกของเราคือ Guy (Ryan Reynolds จาก Deadpool) ซึ่งเป็นตัวประกอบ หรือ NPC (Non-Player Character) ในเกม ที่มีอยู่เพื่อให้ player จริง ๆ ได้มากระทำการล่าแต้มหรืออัพเวล โดยการทำร้าย ปล้น ชิง ฆ่า ฯลฯ ไปวัน ๆ
Guy ถูกโปรแกรมมาให้ใช้ชีวิตอย่างวนลูป พูดแบบเดิม ๆ ใส่เสื้อผ้าชุดเดิม กินกาแฟแบบเดิม (Medium coffee, cream, two sugars) ทำงานที่เดิม ๆ แบบเดิม ๆ และลอยไปลอยมากับ Buddy (Lil Rel Howery จาก Get Out) เพื่อนร่วมงานของเขา จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้พบกับเป้าหมายในชีวิต และกล้าฉีกออกจากวงจรชีวิตเดิม ๆ หลังจากเดินสวนกับ Molotov Girl (Jodie Comer จาก Killing Eve) และหลังจากเขาได้เอาแว่นของ player คนหนึ่งมาใส่ โลกของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป
ในโลกจริง Molotov Girl คือ Millie โปรแกรมเมอร์สาวที่พยายามหาหลักฐานไปฟ้อง Antwan ว่าใช้โค้ดของเธอกับหุ้นส่วนเก่าของเธอ Keys (Joe Keery จาก Stranger Things) ในการสร้างเกม Free City โดยปัจจุบัน Keys ก็ทำงานเป็นลูกจ้างให้ Antwan เขากับคู่หู Mouser (Utkarsh Ambudkar จาก Blindspotting) มีหน้าที่ดูแลเกม ทำให้ต้องตามกำจัด Guy ซึ่งเป็นเสมือน Bug ตัวใหญ่ปั่นป่วนระบบนิเวศใน Free City แต่ในขณะเดียวกัน Guy ก็เริ่มเป็นที่กล่าวถึงของชาวเน็ตทั่วโลก เพราะเป็น NPC ที่จู่ ๆ ก็มีความคิด มีพัฒนาการ มีเป้าหมายในการทำดีในโลกของเกมที่มีแต่ตัวละครอาชญากร และสามารถอัพเวลได้อย่างรวดเร็ว
I know this world is just a game, but this place, these people, that’s all I have. So I’m not gonna be the good guy. I’m gonna be a great guy.
ใน Free Guy เราก็จะได้เห็น Pop Culture มากมาย และพบกับ cameos มากหน้าหลายตา ทั้งเกมเมอร์และสตรีมเมอร์ชื่อดัง เช่น Jacksepticeye, Ninja, Pokimane, DanTDM, และ LazarBeam รวมถึงนักแสดงชื่อดังอย่าง Channing Tatum, Chris Evans, Tina Fey, Hugh Jackman, และ Dwayne Johnson ซึ่ง Cameos แต่ละคนก็มาเซอร์ไพร์สกันแบบปัง ๆ ชนิดไม่มีใครยอมใคร บางคนก็พีคมากจนคนดูหัวเราะปรบมือกันลั่นโรง (อ่านเพิ่มเติม Free Guy: The Best Cameos, Ranked)
นอกเหนือจากความบันเทิงเบาสมองที่ได้จากฉาก action & comedy แล้ว เราคิดว่า Free Guy มีความเป็นหนังชีวิตและหนังรักโรแมนติก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้ และแอบเช็ดน้ำตาในโรงตอนช่วงท้าย ๆ ของเรื่อง
ในแง่ชีวิต เราจะเห็นได้ว่า ถ้าเราใช้ชีวิตไปวัน ๆ แบบวน routine รวมถึงพูดหรือทำอะไรโดยไม่ใช้ความคิดความรู้สึก เหมือน NPC ในเกม มันก็เหมือนเราไม่มีจิตวิญญาณหรือการมีชีวิตอยู่จริง ๆ แต่ชีวิตจะมีความหมายขึ้น หากสามารถเลือกทางเดินของตัวเองได้ เช่นเดียวกับ NPC ที่เริ่มรู้จักนึกคิด มีเป้าหมาย มีความทะเยอทะยานและความกล้าออกจากคอมฟอร์ตโซนหรือแพตเทิร์นของชีวิตที่สังคมกำหนด เช่นเดียวกับ Guy ที่เริ่มมีพัฒนาการ เมื่อมีปัจจัยหรือสิ่งเร้ามากระตุ้นให้เขาเปลี่ยนแปลง รวมถึงคว้าโอกาส (ถ้าไม่มีคนหยิบยื่น) ซึ่ง ณ ที่นี้ หมายถึงแว่นกันแดดของ player ในเกม ที่ทำให้เขามี vision และ goal ที่แตกต่างไปจากเดิม นอกจากนี้ ยังทำให้เราเห็นคุณค่าในโลกของคนอื่น เพราะโลกที่ดูเหมือนไม่สำคัญสำหรับเรา อาจจะเป็นโลกทั้งใบของเขาก็ได้
I love you, Millie. Now maybe that’s just my programming talking, but guess what? Somebody wrote that program. I’m just a love letter to you. Somewhere out there is the author.
ในแง่โรแมนติก เราคิดว่า Free Guy เป็นหนึ่งในหนังที่โรแมนติกที่สุดเรื่องหนึ่งแห่งปี เราค่อนข้างอินกับคอนเซ็ปต์ “จดหมายรัก” ที่คนคนนึงเขียนขึ้นมาในรูปแบบที่ไม่ใช่ “จดหมายรัก” เราค่อนข้างอินกับคอนเซ็ปต์ของ “จดหมายรัก” ที่แฝงหรือซ่อนอยู่ในผลงานของคนคนนึง เพราะเขาไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดหรือตัวอักษรตรง ๆ หรืออาจไม่สามารถส่ง “จดหมายรัก” นั้นให้คนคนนั้นได้อ่านแบบตรง ๆ ได้เลยด้วยซ้ำ
เราเองก็เหมือน Keys ที่เขียนโค้ดขึ้นมาโดยมี Millie เป็นจุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจ เรามีคนคนนึงอยู่ในงานของเราหลาย ๆ ชิ้นที่สร้างสรรค์ขึ้นในตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกัน เราก็เหมือน Guy ที่ในความเป็นจริง เราอยู่คนละโลกกับ Millie และเราต่างต้องไปมีชีวิตในโลกของตัวเอง ที่นาน ๆ ที เราจะแวะกลับมาในโลกจินตนาการ และเห็นเราสองคนนั่งดื่ม medium coffee with cream and two sugars ด้วยกันในคาเฟ่ร้านประจำ, กิน bubblegum ice-cream ริมแม่น้ำ, นั่งชิลล์ที่ชิงช้าและฮัมเพลง Fantasy ของ Mariah Carey นักร้องคนโปรดของเธอ…
1 comment
Comments are closed.