It’s ok ถ้าคุณรู้ตั้งแต่ดูเทรลเลอร์ Gemini Man แล้วว่า เด็กหน้าเหมือน Will Smith ที่ตามไล่ฆ่าก็คือร่างโคลนนิ่งของ Will Smith เอง เพราะนั่นคือพล็อตหลักของหนัง คนทำหนังเค้าก็ไม่ได้ตั้งใจเก็บไว้เซอร์ไพรส์คนดูอะไรอยู่แล้ว สิ่งที่หนังต้องการจะขายหลัก ๆ คือ การเอา Will Smith มาล่า Will Smith เองนี่แหละ
เนื้อเรื่องในหนัง Gemini Man ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเท่าที่เราเห็นกันแล้วในเทรลเลอร์สักเท่าไหร่ และพูดจริง ๆ ก็คือ เนื้อเรื่องธรรมดามาก ไม่มีอะไรเลย และหลายอย่างก็ไม่เมคเซนส์ โดยเรื่องคร่าว ๆ คือ Henry Brogan (Will Smith ผู้เข้าชิงออสการ์จาก The Pursuit of Happyness) เนี่ย เป็นมือปืนนักฆ่าวัย 51 ปีที่มือพระกาฬโคตร ๆ ฆ่ามาแล้ว 72 ศพ และต้องการจะอำลาวงการ (หรือรีไทร์)
แต่ทีนี้ บอสเก่าของเขา Clay Varris (Clive Owen ผู้เข้าชิงออสการ์จาก Closer) ส่งนักฆ่าที่ไม่ใช่แค่หน้าเหมือน Henry ในวัย 20 กว่าเด๊ะ ๆ เท่านั้น แต่ยังสกิลเทพไม่แพ้ Henry อีกด้วย นั่นก็คือ Junior (Will Smith กับเทคโนโลยี de-aging) ซึ่งเป็นนักฆ่าจากโครงการเจมิไน
ระหว่างที่ถูกไล่ล่านั้น Henry จำเป็นต้องพา Danny Zakarweski (Mary Elizabeth Winstead จาก 10 Cloverfield Lane) หลบหนีมาด้วย และเขาเองก็ต้องขอความช่วยเหลือจาก Baron (Benedict Wong จาก Doctor Strange) เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของเขามาร่วมผจญภัยด้วย
พล็อตโคลนนิ่งค่อนข้างเชยนิดนึง รวมถึงการใช้กระจกเป็น symbolic ต่าง ๆ แต่หนังก็มีประเด็นอีกนิดนึงที่น่าสนใจ (เสียดายที่หนังไม่ขยี้) กล่าวคือโครงการเจมิไนเนี่ย เกิดจากคอนเซ็ปต์ที่ว่า สงครามมันทำลายชีวิตคน เช่น ทหารเอง ครอบครัวของทหารอีก ดังนั้น มันจะดีกว่าไหมถ้าสร้างทหารขึ้นมาเลย ทหารที่ไม่เหนื่อย ไม่เจ็บ ไม่เศร้า ไม่มีอาการ PTSD หรือซึมเศร้าหลังผ่านสมรภูมิ ฯลฯ ซึ่งมันก็ทำให้ตัวร้ายมีมิติ มีความคิด และเป็นความคิดที่…แว้บนึง เราก็แอบพยักหน้าเห็นด้วยกับเค้าจริง ๆ (ตัดเรื่องศีลธรรม มนุษยธรรมไรงี้ ออกไปก่อน)
ผู้กำกับออสการ์ Ang Lee (จาก Life of Pi และ Brokeback Mountain) ดูมีแพชชั่นที่จะเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ต่าง ๆ มาใช้ในหนังของเขา ใน Gemini Man นี้เอง เค้าก็ใช้เทคโนโลยี de-aging ดึงหน้าของ Will Smith จากวัย 50 หยก ๆ มาเป็น 20 ต้น ๆ (คล้ายกับเทคโนโลยีดึงหน้า Samuel L. Jackson ให้เด็กลงใน Captain Marvel) ซึ่งมีความยากและต้นทุนที่สูงกว่าการใช้นักแสดงวัย 20 ตอนต้นที่หน้าคล้าย Will Smith (เช่น ลูกชายแท้ ๆ ของ Will Smith เอง เป็นต้น) มารับบทเป็นนักฆ่าร่างโคลนของ Will Smith
นอกจากนี้ Ang Lee ยังมีความทะเยอทะยานในการทำหนัง 3D มาตั้งแต่ Life of Pi และ Billy Lynn’s Long Halftime Walk กล่าวคือ โดยปกติ หนังสามมิติทั่วไปจะถ่ายกันที่ 24 เฟรม ต่อวินาที แต่อย่างใน Billy Lynn’s Long Halftime Walk และล่าสุด Gemini Man นี้เอง Ang Lee ทำเฟรทเรทสูงมาก ๆ ที่ 120 fps ดังนั้น ถ้าจะดู Gemini Man ก็ควรดูในระบบ 3D เท่านั้น เพราะเขาทำมาแบบ 3D Plus ซะขนาดนั้น
ถามว่า 3D Plus ดังกล่าวดีอย่างไร… มันก็ยากที่จะพูดให้เห็นภาพเท่ากับได้ลองไปดูเอง…แต่คร่าว ๆ คือ มันเป็นสามมิติที่ชัดมาก ๆ ชัดเว่อร์ ๆ จนเหมือนเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น ๆ (ถ้าคนไม่ชินหรือปกติเป็นคนที่ไม่ชอบดูหนังสามมิติอยู่แล้ว มาดูก็อาจจะปวดหัว-ปวดตาได้) อีกทั้งมันยังทำให้ฉากแอ็คชั่นมันได้ฟีลและดูสนุกยิ่งขึ้นอีกด้วย
ถึงแม้ Gemini Man จะเนื้อเรื่องบางเบาและเล่าเรื่อย ๆ ไปเรียง ๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ฉากบู๊ ฉากแอ็คชั่น เค้าทำได้สนุกดีจริง ๆ (ส่วนหนึ่งก็เพราะพลังของ 3D Plus ที่กล่าวไปข้างต้นด้วย) โดยเฉพาะซีนขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ล่าในการประจันหน้ากันครั้งแรกของ Will Smith วัยแก่กับ Will Smith วัยหนุ่มนั้น คือใส่ไม่ยั้งจริง ๆ แทบไม่มีที่ว่างให้หายใจ
โดยสรุป Gemini Man เป็นหนังที่พล็อตไม่ใหม่ แต่ความน่าตื่นเต้นและความโดดเด่นอยู่ที่เทคโนโลยี เช่น การถ่ายทำแบบ 120 เฟรมเรทต่อวินาที, การ de-aging ดึงหน้าของ Will Smith แล้วให้ Will Smith มาสู้กับ Will Smith เองอีก (คล้าย ๆ ละครกลิ่นกาสะลองที่ให้ญาญ่ามาอยู่เฟรมเดียวกับญาญ่า) รวมถึงฉากแอ็คชั่นที่ทำได้สนุกระดับห้าดาว และการแสดงของนักแสดงนำต่าง ๆ
ทั้งหมดนี้ทำให้สุดท้ายแล้ว Gemini Man เป็นหนังที่… ไม่ว่าจะยังไง มันก็ควรที่จะได้ดูในโรงภาพยนตร์ โดยเฉพาะในระบบ 3D (หมายเหตุ หนังเค้าถ่ายมา 120 fps ก็จริง แต่ระบบโรงหนังบ้านเรามีรองรับสูงสุดแค่ 60 fps เท่านั้นนะ)
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 7.5/10
123 comments
Comments are closed.