ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ เรามี Batman มาแล้วหลายเวอร์ชั่น คู่ปรับตัวฉกาจที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของ Batman ก็คงไม่พ้น Joker และเปลี่ยนชีวิตของนักแสดงที่มารับบทเป็น Joker มานักต่อนักแล้ว โดยเฉพาะนักแสดงผู้ล่วงลับอย่าง Heath Ledger ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากบท Joker ในเรื่อง The Dark Knight (2008) หรือ Batman ฉบับของ Christopher Nolan
แต่ไม่ว่าเราจะรู้จักกับ Joker มากี่เวอร์ชั่นแล้วก็ตาม เราก็ได้รู้จักตัวละครนี้แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น จนกระทั่งในที่่สุด DC ก็ได้สร้างหนังเดี่ยวของวายร้ายคนดังคนนี้เสียที ซึ่งจะพาพวกเราไปรู้จักกับตื้นลึกหนาบางและสำรวจบุคลิก-จิตใจของ Joker อย่างที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เพราะหนังเดี่ยวเรื่อง Joker ของผู้กำกับ Todd Phillips (จาก The Hangover) นี้ จะเริ่มเล่าตั้งแต่จุดกำเนิดของ Joker, ปูมหลังชีวิต, และตีความตัวละครในจักรวาล DC ใหม่ทั้งหมด
“The worst part of having a mental illness is people expect you to behave as if you don’t.”
เรื่องย่อ Joker
หนังเรื่องนี้ได้นักแสดงผู้เข้าชิงออสการ์ 3 สมัยอย่าง Joaquin Phoenix มารับบทเป็น Joker หรือ Arthur Fleck ชายผู้ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดในเมือง Gotham ที่เสื่อมโทรม ทำอาชีพรับจ้างแต่งตัวเป็นตัวตลก (clown) และอาศัยอยู่กับแม่ผู้ชรา Penny (Frances Conroy จาก Catwoman) ในอพาร์ตเมนต์ที่ทรุดโทรม
Penny เคยทำงานให้กับบริษัท Wayne และพยายามติดต่อกับ Thomas Wayne (Brett Cullen จาก The Dark Knight Rises) เพราะหวังว่าเจ้านายเก่าจะให้การช่วยเหลืออดีตลูกจ้างที่กำลังตกทุกข์ได้ยากอย่างเธอ แต่จนแล้วจนเล่า เธอก็ไม่เคยได้รับการติดต่อกลับจาก Thomas หรือบุคลากรใดใดจากบริษัท Wayne เลย
ในขณะเดียวกัน Arthur มีความฝันอยากเป็น comedian หรือนักเล่าทอล์คโชว์สายตลก และฝันว่าวันหนึ่งจะได้ไปออกรายการของ Murray Franklin (Robert De Niro นักแสดงออสการ์จาก The Godfather) นอกจากนี้เขายังแอบหลงรัก Sophie (Zazie Beetz จาก Deadpool 2) คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ชั้นเดียวกัน
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Joker
มหานคร Gotham เป็นเมืองที่มีขยะมูลฝอยล้นเต็มถนนและเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นฐานะระหว่างคนจนกับคนรวย โดย Arthur Fleck เป็นเสมือนตัวแทนของคนชายขอบหรือคนจนที่ต้องหาเช้ากินค่ำและอยู่อย่างปากกัดตีนถีบ ส่วนคนตระกูล Wayne ซึ่งมั่งคั่งที่สุดในเมือง (แน่นอนว่ารวมถึง Bruce Wayne ซึ่งเป็นทายาทตัวน้อยของ Thomas Wayne และเป็น Batman ในอนาคต) เป็นตัวแทนของคนรวย ผู้รากมากดี ผู้มีทั้งเงินทอง อำนาจ วาสนา และอภิสิทธิเหนือคนจากชนชั้นอื่น ๆ
ฉากหนึ่งที่รอคอยคือการเจอกันครั้งแรกของ Arthur Fleck (หรือ Joker) กับ Bruce Wayne วัยเด็ก (รับบทโดย Dante Pereira-Olson) เป็นฉากที่มีเพียงกำแพงและรั้วประตูคฤหาสน์หรูหราคั่นกลางระหว่างสองคนนั้น โดย ณ ตอนนั้น Arthur ไปดี เขาพยายามหยิบยื่นมิตรไมตรีและมอบรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะให้กับเด็กน้อย แต่สุดท้าย ไม่เพียงแค่ Arthur ไม่มีสิทธิหรือโอกาสได้เหยียบเข้าไปในอาณาเขตของพวก elite เท่านั้น หากแต่ยังถูก butler หรือ Alfred (Douglas Hodge) ขับไสอย่างไม่ไยดีอีกด้วย
พื้นฐานของ Arthur ไม่ใช่คนไม่ดี ตรงกันข้าม เขาพยายามทำให้คนอื่นยิ้ม พยายามสร้างเสียงหัวเราะให้คนรอบข้าง ทั้งที่ตัวเขาเองแทบไม่เคยยิ้มหรือหัวเราะอย่างจริง ๆ เลยสักครั้ง (ถ้าไม่นับการหัวเราะที่ควบคุมไม่ได้อันเกิดจากโรคประจำตัว) เพียงแต่เขาไม่เคยถูกปฏิบัติเยี่ยงมนุษย์เลย เขามักถูก bully และถูก abuse ต่าง ๆ นานา เขาเป็นคนป่วยที่ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครมองเห็น และประกอบด้วยสภาพแวดล้อมหรือบริบททางสังคมอันต่ำตมที่หล่อหลอมและบีบให้เขาต้องกลายมาเป็นอย่างนี้
และไม่ว่าเขาจะถูกใครกระทำรุนแรงแค่ไหน ก็ไม่เคยมีใครให้ความสนใจหรือยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขาอย่างจริงจัง แม้แต่สิทธิการเข้ารับการรักษาที่พลเมืองอย่างเขาควรจะได้รับก็ยังถูกตัดงบประมาณและริบสิทธินั้นไปต่อหน้าต่อตา คนชั้นล่างก็ไม่ต่างอะไรกับตัวตลกนอกสายตาของคนรวย ไม่ช้าก็เร็ว วันนึงความไม่พอใจที่เกิดจากการถูกกดขี่เหยียดหยามนั้นก็ต้องมาถึงจุดระเบิดหรือจุดแตกหัก เพียงแต่ Arthur เข้ามาเป็นตัวจุดชนวนหรือตัว trigger ให้มันเกิดขึ้นเร็วขึ้นก็เท่านั้น
ตลอดสองชั่วโมง หนังไม่มีความบันเทิงเอาเสียเลย หนังไม่ได้ตลก ไม่ได้ยียวนกวนตีนหรือยิงมุก หากแต่มีแต่ความตลกร้าย ความรุนแรง และความหดหู่ อย่างไรก็ดี หนังมีความอาร์ตที่เข้าถึงได้ ภาพสวยนัว ๆ เหมือนแผ่นฟิล์ม และมีการใส่สกอร์หรือซาวนด์ที่โดดเด่น พร้อมกับการวิพากษ์วิจารณ์สังคมทุนนิยมหรือสังคมที่นายทุนเป็นใหญ่ในปัจจุบัน ต้องบอกว่า DC คิดถูกแล้วที่เลือกเดินทางมาสายดราม่า สายดาร์ค หรือสายรางวัล แทนที่จะไปขายหนังแอ็คชั่นผสมมุกตลกซิทคอมตามรอย Marvel อย่างที่แล้วมา
Joker (2019) เป็นหนังที่เปิดกว้างให้คนดูได้ตีความและได้ตัดสินกันเอง ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรดีอะไรไม่ดี รวมถึงอันไหนจริงอันไหนไม่จริง เพราะทั้งอาการป่วยทางจิตเภทของสองแม่ลูก (Arthur Fleck & Penny Fleck) ทั้งอำนาจเงินตราที่ตระกูล Wayne มีนั้น ล้วนหลอกลวงหรือสร้าง illusion ให้เราได้หมดทั้งสิ้น ดีไม่ดีเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น หรืออย่างน้อยก็เฉพาะพาร์ทที่เหมือนจะเป็นเรื่องดี ๆ แฮปปี้ ๆ ของ Arthur นั้น อาจจะเป็นเพียงแค่โจ๊ก… หรืออาจจะเกิดขึ้นจริงแค่เพียงในหัวของ Arthur Fleck เองคนเดียวก็ได้
สุดท้ายมันจึงทำให้เกิด “หนังจบ อารมณ์ไม่จบ” ความหม่นของเรื่องราวและเสียงหัวเราะอันชวนสะพรึงของ Joaquin Phoenix ยังคงติดหูติดตาเราค้างอยู่อย่างนั้นหลายวันอย่างยากที่จะสลัดออกจากหัวได้ จนถึง ณ เวลานี้ ในหัวเรามันก็ยังเต็มไปด้วยคำถามที่วนเวียนให้ครุ่นคิดอย่างไม่รู้จบ
แต่สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างแน่นอนคือ หนัง Joker มีความเป็นไปได้ที่จะได้เข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และที่แน่ยิ่งกว่าแน่ก็คือ Joaquin Phoenix เตรียมกวาดรางวัลจากทุกสำนักมาประดับตู้ได้เลย เพราะเขาได้มอบการแสดงอันทรงพลังยอดเยี่ยมไร้ที่ติ แบกและอุ้มชูหนังไว้ทั้งเรื่อง อีกทั้งยังมีในเรื่องของความทุ่มเทที่เขาลดน้ำหนักอดอาหารจนผอมเหลือแต่ซี่โครงนั่นอีก (นึกถึง Christian Bale จากเรื่อง The Machinist) เรียกได้ว่า ออสการ์นำชายปีนี้ เขานอนมาอย่างไม่ต้องสงสัย และคงไม่มีใครที่จะมาล้มแชมป์ Joker ที่ดีที่สุดไปจากเขาได้ในเร็ว ๆ นี้
40 comments
Comments are closed.