Joker: Folie à Deux เป็นหนังภาคต่อที่น่าผิดหวังที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตัวเองก็ทำภาคแรกไว้ดีมาก ประสบความสำเร็จในการเล่าและตีความตัวละครของ DC ใหม่ จนถึงขั้นเข้าชิงออสการ์ตั้ง 11 สาขา รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ในภาคนี้ (ขอเรียกว่า Joker 2) หนังไม่มีซีนน่าจดจำ Todd Phillips ไม่ได้พาคนดูไปข้างหน้าหรือดำดิ่งลงลึกไปกับประเด็นไหนได้เลย เหมือนสับสนว่าจะเล่าอะไร มีตัดสลับเป็นฉากร้องเล่นเต้นระบำในจินตนาการบ้าง แต่ก็เฉย ๆ หนังไปไม่สุดสักทาง ไม่ว่าจะเป็นหนังรัก musical หรือจะเป็นหนัง courtroom drama หรือจะเป็นหนังเล่นกับจิตวิทยาประเด็นคนสองบุคลิก รวม ๆ พล็อตบางเบามาก เมื่อเทียบกับความยาวหนัง 2 ช.ม. 18 นาที
ในขณะที่ ในภาคแรก เขาสามารถพาเราไปรู้จักชีวิตและสำรวจบุคลิกและจิตใจของ Joker หรือ Arthur Fleck (นักแสดงออสการ์ Joaquin Phoenix) พร้อมตีแผ่ประเด็น power, social class, และ bullying ได้อย่างดี อีกทั้งยังมีซีนช่วงองก์สุดท้ายที่น่าจดจำ ภายในความยาวเพียง 2 ช.ม. 2 นาที
“You got a joke for us today?”
Joker 2 เล่าเรื่องราวชีวิตของ Arthur Fleck ในคุก ภายใต้การดูแลของผู้คุม Jackie (Brendan Gleeson จาก The Banshees of Inisherin) ซึ่งตอนนี้เขาไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว ในตุก เขาได้พบและตกหลุมรักกับ Lee Quinzel หรือ Harley Quinn (Lady Gaga จาก A Star Is Born) นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ทรงอิทธิพล มีผู้ติดตามและชื่นชม ทั้งในคุกและในโลกภายนอก แต่หลัก ๆ หนังจะเน้นเรื่องการต่อสู้ในชั้นศาลเพื่อพิสูจน์ว่า ตัวเองเป็นคนสองบุคลิก และพิสูจน์ว่า ผู้ที่ฆ่าคน 5 คน รวมถึง Murray Franklin (Robert De Niro) ในภาคที่แล้ว คือตัว Arthur เอง หรือคือ Joker… อีกตัวตนหนึ่งของเขา ซึ่งก็ไม่ได้ทำออกมาเข้มข้นขนาดนั้น
สำหรับเรา Joker 2 พาร์ทโรแมนติกคือแห้ง พาร์ทในศาลคือน่าเบื่อ และพาร์ทกระแสสังคม จราจล หรืออาชญากรรมก็คือไม่มีอะไรเลย พาร์ทเพลงหรือมิวสิคัลพอไปวัดไปวาได้เพราะเพลงเพราะ รวม ๆ หนังไม่ได้ขยี้ประเด็น “อำนาจ” หรือใช้ power ที่โจ๊กเกอร์ ignite ไว้ในภาคแรกได้คุ้ม และไม่ได้ใช้พลังการแสดงของสองนักแสดงนำได้คุ้มด้วย โดยเฉพาะ Lady Gaga ที่ตัวละครของเธอแทบไม่ได้รับการใส่ใจหรือมีการพัฒนาแต่ใดใด
“I’m not letting you turn my court into a circus!”
ถ้าถามว่า เราชอบอะไรใน Joker 2 บ้าง ก็คงเป็นงานภาพ ถ่ายภาพสวย มีนัยยะ และด้วยหนังพยายามเล่าแต่ละซีนอย่างยืดเยื้อทั้งที่เนื้อเรื่องแทบไม่มีอะไร คนดูอย่างเราก็ได้แต่ชื่นชมงานศิลป์ของการถ่ายภาพในแต่ละซีนอย่างเต็มที่ (นี่คือชม) เราชอบการถ่ายภาพที่สะท้อนถึง “ความไม่เท่าเทียม” หรือ “ความอยุติธรรม” เช่น การวางตัวละครอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม ไม่ว่าจะตารางในคุก หน้าต่าง จอทีวี ฯลฯ แต่ไม่ได้วางให้ object นั้นอยู่ ณ center ของกรอบ
แต่รวม ๆ ก็ถือว่า Joker 2 ยังเป็นหนังที่ผิดหวังอยู่ดี และรู้สึกไม่คุ้มกับค่าตั๋ว IMAX สักเท่าไหร่ ทั้งที่ได้ใช้เวลานั่งแช่แอร์อยู่ในโรงหนังมากกว่าสองชั่วโมงครึ่ง