Killers of the Flower Moon ผลงานกำกับเรื่องล่าสุดของเสด็จปู่ Martin Scorsese (ตำนานที่ยังมีลมหายใจ จาก The Wolf of Wall Street, Shutter Island, The Departed, Goodfellas, ฯลฯ) ที่รวมดาวพระเอกคู่บุญสองยุคของเขาไว้ในเรื่องเดียวกัน นั่นก็คือ Leonardo DiCaprio และ Robert De Niro โดยหนังสร้างจากหนังสือ non-fiction “Killers of the Flower Moon: The Osage Murders and the Birth of the F.B.I.” ของ David Grann ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2017
Killers of the Flower Moon เล่าถึงเหตุการณ์การฆาตกรรมต่อเนื่องที่เมือง Fairfax ใน Osage County แห่งรัฐ Oklahoma ในยุค 1920s หรือการสังหารหมู่ชาวอินเดียนแดงชนเผ่าโอเซจ (Osage) เพื่อช่วงชิงที่ดิน ทรัพยากร อำนาจและความมั่งคั่ง ซึ่งในช่วงแรก ๆ ยังไม่มีการสืบสวนหาสาเหตุการตาย แต่มักสรุปว่าคนพื้นเมืองเหล่านั้นป่วยเป็นโรคตายหรือฆ่าตัวตาย ทั้งนี้เพราะการคอร์รัปชั่นและความหละหลวมของกฎหมาย รวมทั้งตำรวจ หมอ หรือกระทั่งคนขายโลงศพ ที่เป็นคนขาว ก็ล้วนได้รับผลประโยชน์จากการตายของคนพื้นเมืองเช่นกัน จนภายหลังเมืองหลวงต้องส่ง Tom White (Jesse Plemons) เจ้าหน้าที่ Bureau of Investigations (หรือ FBI ในปัจจุบัน) มาลงพื้นที่สืบสวนสอบสวนอย่างจริงจัง ซึ่งต่อมาคดีนี้ถือเป็นความสำเร็จและจุดเปลี่ยนสำคัญของ FBI ยุคแรกเริ่มเลยก็ว่าได้
ในยุคนั้น Osage Nation มั่งคั่งจากการขุดพบแหล่งน้ำมันในที่ดิน จนถูกจัดเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้ต่อหัวสูงที่สุดในโลก แต่พวกเขาไม่สามารถใช้หรือจัดการเงินทองหรือทรัพย์สินของพวกเขาเองได้ตามอำเภอใจ เพราะรัฐบาลอเมริกาจัดให้พวกเขาเป็น “บุคคลไร้ความสามารถ (incompetent)” และต้องมี “ผู้พิทักษ์ (guardian)” ที่เป็นคนขาวคอยดูแลและควบคุมธุรกรรมทางการเงินของพวกเขา ซึ่งเป็นการกระทำที่ racist ที่สุดอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์อเมริกา
เคราะห์ซ้ำกรรมซ้อน พวกหมาป่าหรือพวกคนขาวจอมโลภยังใช้กฎหมายอันเหยียดเชื้อชาติและไม่เป็นธรรมนี้ในการฉวยโอกาส แสวงหาผลประโยชน์ และเอารัดเอาเปรียบคนพื้นเมืองอย่างเลวร้าย รวมถึง William Hale (Robert De Niro) เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ผู้ร่ำรวยและทรงอิทธิพล ที่ฉากหน้าดูใจดีและช่วยเหลือชาวพื้นเมืองอย่างเป็นมิตร จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “King of the Osage Hills” แต่ลับ ๆ Hale วางแผนให้ Ernest Burkhart (Leonardo DiCaprio) ผู้เป็นหลานชาย แต่งงานกับหญิงพื้นเมือง Mollie Kyle (Lily Gladstone) แล้วค่อย ๆ สั่งให้คนขาวคนอื่น ๆ ฆ่าพี่น้องและแม่ของ Mollie ทีละคน ๆ โดยหวังฮุบทรัพย์สมบัติของตระกูล Mollie ไว้ทั้งหมด
ทั้งนี้ คำว่า Flower Moon สำหรับชาวพื้นเมืองนั้น หมายถึงพระจันทร์เต็มดวงที่มักเกิดขึ้นในเดือน พ.ค. ซึ่งเป็นเดือนที่ดอกไม้ในอเมริกามักบานสะพรั่ง ในบริบทนี้ Flower Moon จึงหมายถึงชีวิตของชาว Osage ที่ทั้งสุขสบายจากความร่ำรวย แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องพบกับการเอาเปรียบและการฆาตกรรมที่กระทำโดยความโลภของคนขาวที่ต้องการครอบครองที่ดิน ทรัพยากร อำนาจ และความมั่งคั่งของพวกเขานั่นเอง
ในฐานะคนดู… พวกเราต่างรู้กันอยู่เต็มอกตั้งแต่เริ่มเรื่องแล้วว่า ใครเป็นฆาตกร แต่ Scorsese และมือเขียนบทร่วมดีกรีออสการ์ Eric Roth (จาก Forrest Gump, Dune ฯลฯ) ไม่ได้ต้องการทำหนังเรื่องนี้เป็นแนว “whodunit“ หรือแนวสืบสวนสอบสวน หากแต่เลือกเล่าหนังโดยเน้นมุมมองของฆาตกร ซึ่งเป็นสามีและคนใกล้ตัวของเหยื่อ รวมถึงรีแอคชั่นของคนในชุมชนที่มีต่อการฆาตกรรม เพราะหนังจะได้ถ่ายทอดวิถีชีวิตของคนพื้นเมืองและความเป็นมนุษย์ (เช่น ความสัมพันธ์ของ Ernest กับ Mollie) ได้มากกว่าไปโฟกัสกับการสืบคดีของ FBI โดย Scorsese ย้ำเสมอว่า นี่คือหนังเกี่ยวกับ “who-didn’t-do-it”
โดยสรุป นี่เป็นหนังความยาว 3 ชั่วโมง 26 นาที ที่เราต้องไปนั่งดูในฐานะผู้ชม ที่รู้เห็นเหตุการณ์ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของการฆ่า รู้อยู่แล้วว่าใครเป็นฆาตกรและแรงจูงใจในการทำคืออะไร ดังนั้น นี่อาจไม่เหมาะสำหรับคนดูที่ไม่ชอบดูหนังยาว ๆ หรือคนที่ชอบเป็นนักสืบ ชอบการคาดเดาว่าใครเป็นคนทำ แต่ถ้าคุณเป็นคนดูหนังที่ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ ความไม่เท่าเทียม ความอยุติธรรม หรือชอบดูด้านมืดและตลกร้ายของมนุษย์ เสด็จปู่ Martin Scorsese จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง