บ่อยครั้งที่เราเอาความ “วินเทจ” มา romanticize วิถีชีวิตของคนยุค ’60-’90 จนมองข้ามเรื่องราวของ ผู้หญิง ที่ถูกกดขี่โดยสังคมปิตาธิปไตย และ Last Night in Soho ผลงานกำกับล่าสุดของ Edgar Wright (จาก Shaun of the Dead และ Baby Driver) พาเราหวนตระหนักถึงฝันร้ายที่เป็นจริงข้อนั้น
Last Night in Soho เป็นหนังที่มีความตั้งใจที่จะขับเคลื่อน #MeToo โดยสะท้อนปัญหาความรุนแรงและการกดทับที่ sex workers โดยเฉพาะผู้หญิงต้องเผชิญในยุค ’60 หรือโลกที่ชายเป็นใหญ่ ผ่านปลายปากกาและมุมมองของ Edgar Wright ร่วมกับ Krysty Wilson-Cairns มือเขียนบทหญิงผู้เข้าชิงออสการ์จากเรื่อง 1917
“If I could live any place, at any time, “I’d live in London in the 1960s. It must have been the center of the universe!”
Last Night in Soho เริ่มด้วยเรื่องราวของ Eloise “Ellie” Turner (Thomasin McKenzie จาก Jojo Rabbit) สาวชนบทผู้อาศัยอยู่กับยาย (Rita Tushingham) โดยลำพัง เธอชื่นชอบยุค ’60 และใฝ่ฝันอยากเป็นดีไซเนอร์เช่นเดียวกับแม่ผู้ล่วงลับ เธอได้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยแฟชั่นในลอนดอน แต่ชีวิตวัยรุ่นในเมืองกรุงนั้นไม่ง่ายเลยสำหรับเธอ
เธอไม่สามารถเข้ากับรูมเมทสาวไฮโซมันเกิร์ลได้ เธอจึงย้ายไปเช่าห้องอยู่ที่บ้านของหญิงชรา Ms Collins (Diana Rigg จาก Game of Thrones) ในย่านโซโห และตั้งแต่คืนแรกที่นั่น เธอฝันเห็น Sandie (Anya Taylor-Joy จาก The Queen’s Gambit) หญิงสาวสวยที่ใฝ่ฝันจะเป็นนักร้อง แต่ฝันนั้น มันดูเรียลมากจนเสมือนเกม VR ที่เธอกำลังสวมบทบาทเป็น Sandie ที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ในยุค ’60 นั้นจริง ๆ
Sandie กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ Ellie เปลี่ยนแปลงตัวเอง ตั้งแต่ทรงผม สไตล์การแต่งตัว และการพูดจา แต่ต่อมา เธอทั้งสองก็ต้องเจอฝันสลายพร้อม ๆ กัน เมื่อ Jack (Matt Smith จาก The Crown) ชายที่เธอคิดว่าจะเป็นคนรักและผู้จัดการที่พาเธอไปถึงฝั่งฝัน กลับทำลายความฝันของหญิงสาว โดยการบังคับให้เธอขายตัวให้กับแขกในร้านทุกคืน ๆ
“London can be a lot”
ถึงแม้เวลาจะผ่านไปกว่าครึ่งศตวรรษ และลอนดอนจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนก็ตาม แต่เนื้อแท้ แม้แต่กลุ่มผู้คนเอง ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก นับตั้งแต่วันแรกที่ Ellie มาถึงลอนดอน เธอรู้สึกไม่ปลอดภัย เธอเจอทั้งคนขับแท็กซี่และเพื่อนร่วมรุ่นชายที่เหยียดเพศและล่วงละเมิดเธอด้วยสายตาและวาจา แม้แต่ตำรวจชายเอง ก็มองว่าเธอเป็นหญิงบ้า นอกจากนี้ เธอยังเจอลุงแก่ลึกลับ (Terence Stamp) คอยเดินตามอีก
Last Night in Soho จึงมีความเป็นหนังพลังหญิง Women Supporting Women โดยจะเห็นได้จาก Ellie พยายามหาทางช่วยเหลือและปกป้อง Sandie ทุกวิถีทางทั้งที่อยู่กันคนละโลกหรือช่วงเวลา และตำรวจหญิง ที่ถึงแม้จะไม่ได้เชื่อเรื่องมิติลี้ลับหรือเรื่องผี แต่เธอก็เข้าใจ และพยายามปลอบประโลมจิตใจให้กับ Ellie รวมถึงคุณยาย ที่คอยรับฟังและสนับสนุนหลานสาวทุกอย่างที่เธอทำหรือเธอเป็น
แต่ปัญหาของ Ellie — เช่นเดียวกับหญิงสาวผู้ตกเป็นเหยื่อ sexual harassment หลาย ๆ คน — เลือกที่จะเงียบ ไม่เล่าปัญหาให้ใครฟัง และต่อสู้กับมันเพียงลำพัง ซึ่งทำให้บางคนต้องลงเอยกับความเจ็บปวดฝังลึก หรือกระทั่งการฆ่าตัวตาย เช่นเดียวกับแม่ของ Ellie
ในขณะเดียวกัน หนังก็พยายามที่จะบอกว่า “ผู้ชายไม่ได้เลวหรือไว้ใจไม่ได้ทุกคน” ในยุค ’60 Sandie ยังมี Haired (Sam Claflin จาก The Hunger Games) นายตำรวจที่พยายามช่วยและหยิบยื่นโอกาสให้เธอ และในยุคปัจจุบัน Ellie ก็มี John (Michael Ajao) เพื่อนร่วมชั้น ที่คอยรับฟังและซัพพอร์ตเธออย่างไม่มีเงื่อนไข แต่ติดปัญหาที่ว่า หนังเน้นเล่าด้านมืดของสังคมมากเกินไป จนบทคนดีไร้มิติและเหมือนไม่มีอยู่จริง (หรือไม่มีอยู่จริง จริง ๆ ?)
ท่ามกลาง plot holes บางประการ สุดท้าย Last Night in Soho ก็ยังเป็นหนังคุณภาพ ที่มีหลากหลายรสชาติและน่าจะเข้าถึงได้ง่ายกับกลุ่มคนดูหนังหลายกลุ่ม ตั้งแต่คอหนังยุคเก่า Coming-of-Age, Drama, Thriller, Horror, และ Musical —
ถึงแม้ว่า Last Night in Soho จะไม่ได้เป็นหนังมิวสิคัล แต่หนังเลือกใช้เพลงและดนตรีประกอบได้ยอดเยี่ยม เช่นเดียวกับที่ Edgar Wright เคยชนะใจคนดูมาแล้วใน Baby Driver โดยสำหรับเรื่องนี้ เราคิดว่าก็น่าจะถูกใจแฟนเพลงยุค ’60 ไม่มากก็น้อย
ในแง่โปรดักชั่นดีไซน์และคอสตูม เขาก็ออกแบบแสงสีของย่านโซโห และเนรมิตโลกในยุค ’60 ออกมาได้สวยงามสมจริง ราวกับเราได้หลุดไปอยู่ในโลกนั้นเช่นเดียวกับ Ellie และ Sandie ซึ่งส่วนหนึ่งก็ต้องชื่นชมทีมแคสต์ที่สตรอง ไม่ใช่แค่ Thomasin McKenzie กับ Anya Taylor-Joy หากแต่หมายถึงนักแสดงทุกคน ที่ทำให้เราเชื่อเหลือเกินว่า เรากำลังสัมผัสประสบการณ์เดียวกับพวกเธอ
สุดท้ายแล้ว เราจะได้เห็นว่า เราสามารถเอาอดีตมาเป็นแรงผลักดันและแรงบันดาลใจได้ในหลาย ๆ ทางในปัจจุบันหรืออนาคตของเราได้ แต่เราต้องไม่เผอเรอ romanticize อดีต และต้องเข้าใจหัวอกผู้ใหญ่ อย่างปู่ย่าตายายของเราว่า ทำไมพวกเขาถึงกลัวเหลือเกินว่าเราจะออกนอกลู่นอกทางหรือเจอคนไม่ดี เพราะโลกที่พวกเขาเคยประสบพบผ่าน มันอาจห่างไกลจากคำว่าง่ายหรือสวยหรูอย่างที่เราคิด โดยเฉพาะชีวิตของผู้หญิงในยุคนั้น…