Marriage Story ของผู้กำกับและเขียนบท Noah Baumbach (ผู้เข้าชิงออสการ์จากเรื่อง The Squid and the Whale) เป็นหนังที่ไม่ได้เล่าถึงการแต่งงานตามชื่อเรื่อง แต่เล่าชีวิตหลังแต่งงานในช่วงโปรเซสของการหย่า (Divorce) ที่ค่อนข้างเจ็บปวดและยืดเยื้อ ของคู่สามี-ภรรยา Charlie (Adam Driver จาก Star Wars) และ Nicole (Scarlett Johansson จาก The Avengers) ที่ชีวิตคู่เดินมาถึงทางตันแล้ว
“Criminal lawyers see bad people at their best; divorce lawyers see good people at their worst,”
– Bert Spitz
เรื่องย่อ MARRIAGE STORY
ตลอดสิบปีของชีวิตคู่ที่ผ่านมา ทั้งสองอาศัยอยู่ด้วยกันที่นิวยอร์ก ทำงานในคณะละครเวทีด้วยกัน โดย Charlie เป็นผู้กำกับชื่อดัง และ Nicole ออกจากวงการการแสดงซีรีส์/ภาพยนตร์ มาเป็นนางเอกให้กับคณะละครเวทีของ Charlie แต่ทีนี้ ตอนนี้อะไร ๆ มันเปลี่ยนไป เมื่อ Charlie กำลังจะพาคณะไปถึงบรอดเวย์ แต่ Nicole กลับอยากกลับไปรับงานแสดงแบบเดิมที่แอลเอ
พวกเขาต้องแยกทางกัน Nicole พา Henry (Azhy Robertson จาก After the Wedding) ลูกชายวัยแปดขวบ ย้ายไปอยู่แอลเอด้วยกัน โดยพักที่บ้านของคุณยาย Sandra (Julie Hagerty จาก Freddy Got Fingered) แม่ของเธอ ซึ่ง Henry ก็ชอบแอลเอมาก เพราะเขามีพี่น้องเป็นเพื่อนเล่น ซึ่งก็คือลูก ๆ ของ Cassie (Merritt Wever จาก Birdman or (The Unexpected Virtue of Ignorance)) พี่สาวของ Nicole เอง
เรื่องมันซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเมื่อ Nicole จ้างทนาย Nora (Laura Dern จาก Jurassic Park) ทั้งที่ตอนแรกก็ตกลงกันแล้วว่าจะไม่ใช้ทนายกัน จึงทำให้ Charlie ต้องบินไป ๆ มา ๆ ระหว่างนิวยอร์ก (เพื่อไปทำงาน) กับแอลเอ (เพื่อมาเจอลูกและหาทนายไปว่าความสู้)
ตอนแรก Charlie ก็ว่าจ้างทนายแบบน้ำเย็นเข้าลูบอย่าง Bert Spitz (Alan Alda จาก The Aviator) ก่อนที่จะไปใช้ทนายไม้แข็ง Jay (Ray Liotta จาก Goodfellas) มาสู้จึงจะสมน้ำสมเนื้อกับ Nora แต่การต่อสู้มันช่างยุ่งยากและยาวนาน จนเงินของทั้งสองที่เคยเก็บไว้เพื่อการศึกษาของลูกก็ต้องเอามาจ่ายให้กับค่าทนายซึ่งเป็นธุรกิจที่ราคาแพงหูฉี่ จนเรียกว่าแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว
รีวิว/วิเคราะห์/วิจารณ์ MARRIAGE STORY
หนังเรื่องนี้ไม่มีฮีโร่หรือวายร้าย เขาพยายามเล่าเรื่องอย่างเป็นกลาง นำเสนอ Charlie กับ Nicole เยี่ยงมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีทั้งดีและไม่ดี มีทั้งถูกและผิด มีืทั้งขาวและดำ ทั้งสองยังรักกันอยู่แต่แค่อยู่ด้วยกันเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว และต่างก็หวังอยากเป็นผู้ปกครองของลูก
แต่ในบางมุม เราก็จะรู้สึกว่า เอาจริง ๆ หนังมันก็มีตัวร้ายแหละ แต่มาในรูปแบบของทนาย ที่นอกจากจะเป็นธุรกิจที่แพงลากเลือด ชนิดมีบ้านขายบ้าน มีรถขายรถ ขายหมดแล้วไม่พอก็ต้องขายตับขายไต ฯลฯ ซึ่งมันก็ตลกร้ายดี ที่มนุษย์พ่อกับมนุษย์แม่มาไฟต์กันเพื่อลูก แต่สุดท้ายก็เอาเงินที่ควรจะเก็บไว้ให้ลูก เอาไปให้ทนายกันเสียหมดสิ้น ซึ่งเราต้องตั้งสติให้ได้ก่อนจะไม่เหลืออะไรเลยว่า… นี่เรากำลังสู้เพื่ออะไรกันแน่?
แล้วทนายด้านครอบครัวเนี่ย มีความอยากเอาชนะสูงมาก และมีความสามารถสูงเหลือเกินในการหาอะไรมาป้ายให้ฝ่ายตรงข้ามของลูกความตนเองดูแย่ จนอะไร ๆ มันแย่ลงไปหมด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทนายทุกคนในเรื่องแสดงได้เฉียบ โดยเฉพาะ Laura Dern คือเธอแสดงเป็นทนายใน type นั้น ๆ จริง ๆ ไม่ได้แสดงแบบเป็นนางร้ายในละครหลังข่าว ซึ่งมันมีความเป็นมนุษย์ทนายในแบบของเธอที่เราก็เกลียดไม่ลง
อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน เราชอบที่หนังเปิดและปิดเรื่องด้วยการอ่านลิสต์รายการที่ชอบในตัวของอีกฝ่าย มันคือการคิดถึงความดีของกันและกัน คิดถึงว่าอะไรที่ทำให้เรารักและแต่งงานกับคนคนนี้ และต่อให้เราจำเป็นต้องเลิกรากัน เราก็ยังควรที่จะระลึกถึงมัน เพื่อที่อย่างน้อยที่สุด เราจะได้จากกันด้วยดี เป็นเพื่อนที่ดีของกันและกันได้อยู่
ถึงแม้หนังจะนำเสนอเรื่องราวของทั้งสองฝั่งสองฝ่ายอย่างเท่า ๆ กัน แต่โดยส่วนตัวแล้ว เรารู้สึกว่า ในเรื่องนี้ Charlie น่าเห็นใจมากกว่า เพราะโอกาสชนะริบหรี่มาก แถมยังต้องบินไป ๆ มา ๆ ระหว่างสองเมือง ซึ่งห่างไกลและแตกต่างกันมาก แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่เขาทำก่อนที่จะมาถึงจุดแตกหักนี้ มันก็สมควรอยู่เหมือนกันที่จะต้องมาเจออะไรแบบนี้
แล้ว Adam Driver เล่นดีมากกกกก… ขนาดดูจอเล็ก ๆ ที่บ้าน ไม่ได้ดูบนจอใหญ่ในโรงภาพยนตร์ เรายังสัมผัสได้ถึงพลังความเจ็บปวดและความพยายามไฟต์เพื่อไม่ให้สูญเสียลูกของเขา แถมยังมีซีนร้องเพลง Being Alive (ของ Stephen Sondheim) ในช่วงท้ายด้วยอีก เชื่อว่าไม่ว่าจะยังไง คนดูก็จะยังเอาใจช่วยและเสียน้ำตาให้เขานั่นแหละ
Scarlett Johansson เองก็เล่นดีไม่แพ้กัน มีความเป็นธรรมชาติ ถ่ายทอดความซับซ้อนทางอารมณ์ของตัวละครได้ลึกซึ้ง เธอรักและแคร์สามีของเธอ ยังมีความรู้สึกดึ ๆ อยู่ และอยากรักษาสถานภาพความเป็นเพื่อนเอาไว้ แต่เธอก็ต้องการมีเส้นทางหรือความสำเร็จของเธอเองที่ไม่ได้อยู่ติดภายใต้เงาของสามี
ฉากระเบิดอารมณ์ของทั้งสองในห้องเช่าที่แอลเอของ Charlie คือ The Best ของ The Best ปล่อยของหนักมาก ทรงพลังและชวนขนลุกทั้งคู่ เป็นฉากที่เราต้องกรอเล่นซ้ำ 2-3 ครั้ง เพราะมันตราตรึงมากจริง ๆ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ สามารถส่งทั้งคู่ไปเข้าชิงออสการ์ได้เลย
ด้วยพลังทางการแสดง ประกอบกับฝีมือการกำกับและเขียนบทอย่างยอดเยี่ยมแล้ว Marriage Story เป็นหนังเน็ตฟลิกซ์ออริจินัล ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของปี และดีมากพอที่จะเพิ่มคุณค่าของหนังสตรีมมิ่งและยกระดับไปเวทีใหญ่ออสการ์อย่างเต็มภาคภูมิ
คะแนนตามความชอบ 8.5/10
17 comments
Comments are closed.