ความสำเร็จของ Parasite และผู้กำกับ Bong Joon-ho บนเวทีออสการ์ ทำให้หนังและซีรีส์เกาหลี โดยเฉพาะผลงานก่อนหน้าของ Bong Joon-ho ได้รับความสนใจและเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นทั่วโลก รวมถึงหนังเก่าเรื่องแรก ๆ ของเขาตั้งแต่ปี 2003 อย่าง Memories of Murder ซึ่งสร้างจาก “คดีปริศนา ฆาตกรต่อเนื่องคนแรกของเกาหลี” ที่เกิดขึ้นจริงในเกาหลีช่วงปี 1986-1991 หรือ The Hwaseong Serial Murders
ถ้าใครดูหนังของ Bong Joon-ho มาอย่างน้อย 2-3 เรื่อง ก็น่าจะพอสังเกตได้ว่า เขาชอบทำหนังเสียดสีระบบ โดยเฉพาะระบบทุนนิยม โดยการใส่อารมณ์ฺขันหรือตลกร้ายลงไปอย่างแยบยล เช่น The Host, Snowpiercer, Okja, และล่าสุด Parasite สำหรับ Memories of Murder ก็เสียดสีระบบอีกเช่นกัน แต่ไปในทางระบบการเมืองและการทำงานของข้าราชการ (ตำรวจ) ในเมืองชนบท และวิจารณ์สังคมเกาหลีใน “ยุคสมัยแห่งความไร้เดียงสาและความเพิกเฉย”

ตัวละครเอกของ Memories of Murder คือ Park Doo-man (แสดงโดย Song Kang-ho หรือพ่อใน Parasite และผู้ที่ปรากฏอยู่ในหนังของ Bong Joon-ho แทบทุกเรื่อง) เป็นตำรวจสายสืบในจังหวัดคยองกี ที่ต้องมาสืบคดีฆาตกรต่อเนื่อง ฆ่าและข่มขืน ซึ่งเป็นคดีที่ไม่ง่ายสำหรับพวกเขาและสำหรับยุค ’80
Park Doo-man เป็นตำรวจประเภทพึ่งเซนส์ ความรู้สึก จนไปถึงหมอดู ส่วน Cho Yong-koo (Kim Roe-ha หรือพ่อใน Kingdom: Ashin of the North) ลูกน้องของเขาก็เป็นพวกใช้กำลังและความรุนแรงในการบีบบังคับผู้ต้องสงสัยให้พูดความจริงหรือกระทั่งยอมรับในความผิดที่เขาไม่ได้ก่อ และต่อมานายตำรวจหนุ่มจากกรุงโซล Seo Tae-Yoon (Kim Sang-kyung จาก Racket Boys) ก็ถูกส่งมาช่วยคดีด้วย โดย Seo Tae-Yoon จะดูมีเหตุผล ใช้สมอง และอิงหลักการทางวิทยาศาสตร์มากที่สุด แต่ถึงกระนั้น พวกเขาทั้งสามก็ยังจับมือใครดมไม่ได้

ในเมืองไกลปืนเที่ยงอย่างนี้ ตำรวจก็ไม่ค่อยมีสกิลเหมือนตำรวจในเมืองใหญ่ ตำรวจในอเมริกา หรือ FBI เพราะพวกเขาไม่ค่อยได้มีโอกาสทำคดีอะไรแบบนี้บ่อย.ๆ ปกติก็คงเจอแต่คดีเล็กน้อย เช่น ผัวเมียตีกัน คนเมาตีกัน หรือลักเล็กขโมยน้อย ฯลฯ คดีฆาตกรรมซับซ้อนแบบนี้จึงเป็นครั้งแรกของพวกเขา และค่อนข้างอยู่เหนือความสามารถไปสักหน่อย
การหาและพิสูจน์หลักฐานในที่เกิดเหตุเป็นไปอย่างยากลำบากเพราะฆาตกรเลือกก่อเหตุในคืนฝนตก หมายความว่า หลักฐาน เช่น รอยเท้าและคราบอสุจิ ถูกน้ำฝนชะล้างไปหมด แล้วระหว่างการปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ทั้งชาวบ้านและนักข่าวต่างก็เข้ามามุง วุ่นวาย จนรูปคดีเสียตลอด แม้แต่ตอนที่เหมือนจะเข้าถึงตัวคนร้ายได้แล้ว หัวหน้าโทรไปขอกองกำลังเสริม ทางการก็ตอบกลับมาว่าไม่มี เพราะทุกกองถูกส่งไปปรามม็อบหมดแล้ว และมีบ้างที่เหมือนจะได้เบาะแสเพิ่มจากมุมมองที่แตกต่างของตำรวจหญิงคนเดียวในส.น.
ชีวิตจริงมันอาจจะไม่แปลกอะไรที่จะถามว่า “คนร้ายหน้าตาเป็นอย่างไร” เพราะเราก็อยากรู้ว่า “ใครคือคนร้าย ใช่คนที่เราเคยเจอหรือเปล่า ใช่คนที่เราสงสัยหรือไม่” แต่ด้วยความที่ Park Doo-man เป็นตำรวจที่ชอบใช้สัญชาตญาณหรือที่เขาบอกว่า “แค่มองหน้าก็รู้ได้ว่าใครคือคนร้าย” เป็นทุนเดิม คำถามนี้ของเขามันเหมือนการตอกย้ำว่าเขาตัดสินคนจากภายนอก อย่างตอนแรกเขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะปักธงเชื่อว่าเด็กที่ไม่สมประกอบคนหนึ่งเป็นผู้ร้ายและพร้อมจะโยนเขาเป็นแพะของคดีได้ทุกเมื่อ

Bong Joon-ho สามารถถ่ายทอดความล้มเหลวนั้นออกมาให้ดูเหมือนขำขัน ก่อนจะค่อย ๆ ออกลายเป็นตลกร้าย และเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่ไปถึงจุดที่ขำไม่ออกอย่างแนบเนียนไร้รอยต่อ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่รู้จะพูดว่า ที่คดีนี้ถูกเรียกว่าคดีปริศนา ทั้งที่ใช้ตำรวจรวมกว่า 3 แสนนายในการสืบหาเบาะแสและสอบสวนผู้ต้องสงสัยไปกว่า 3 พันคน แล้วยังล้มเหลวเนี่ย เป็นเพราะคนร้ายมันฉลาดมาก หรือเป็นเพราะตำรวจมันเก่งไม่พอ หรือเป็นที่ระบบมันแต่แรกกันแน่ แต่ที่รู้ ๆ ตอนนี้คือ ในเรื่องจริง เกาหลีเองก็เพิ่งขับคนร้ายตัวจริงได้เมื่อไม่นานมานี้เอง (อ่านเพิ่มเติมได้ในบทความ “Man who confessed to being one of South Korea’s most-notorious serial killers says he’s surprised he wasn’t caught sooner.” ของ CNN)
นอกจากนี้ สิ่งที่เราชอบคือ Memories of Murder เต็มไปด้วยบรรยากาศความไม่น่าไว้วางใจและความโกลาหลวุ่นวาย จนไปถึงสัญลักษณ์และภาษาภาพยนตร์ ที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และความสามารถในการทำหนังของ Bong Joon-ho ที่มีมาเป็นกว่าทศวรรษ เช่น ท่อหรืออุโมงค์ ซึ่งอาจเป็นสัญลักษณ์ของความมืดมิดหรือมืดแปดด้าน ยังติดอยู่ในวังวนที่ตัวละครไม่สามารถเข้าใจหรือหาทางออกได้ และบางครั้งคนเราก็ lost จนต้องเผยด้านมืดหรือสูญเสียความเป็นตัวเองไปในถ้ำนั้น ๆ เช่นเดียวกับ ตำรวจจากโซลที่เริ่มถูกระบบตำรวจของคย็องกีกัดกินเข้าไปโดยที่เขาอาจไม่รู้ตัว
Memories of Murder สำหรับเรา จึงเป็นหนึ่งในผลงานมาสเตอร์พีซและคลาสสิกขึ้นหิ้งของ Bong Joon-ho รองจาก Parasite เลยก็ว่าได้ เพราะโดยส่วนตัวเราชอบเรื่องนี้มากกว่า The Host, Snowpiercer, และ Okja ถ้าใครอยากลองดู ก็สามารถหาดูได้บน Netflix รับรองว่า เป็นหนังดีที่ดูง่ายและดูสนุก น่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ และตอนจบก็จบได้อย่างทรงพลังต่อความรู้สึกของคนดู
1 comment
Comments are closed.