Nope ผลงานกำกับลำดับที่ 3 ของ Jordan Peele ผู้กำกับผิวสีที่ประสบความสำเร็จจาก Get Out (2017) และ Us (2019) ยังคงคอนเซ็ปต์ใช้ตัวละครนำเป็นคนชายขอบหรือคนกลุ่มน้อยของอเมริกาและสร้างบรรยากาศความหลอนที่แปลกแหวกแนว ชนิดที่ไม่ยอมให้คนดูดูจบด้วยสมองอันว่างเปล่า หากแต่ต้องออกมาครุ่นคิด ตกผลึก วิเคราะห์ ตีความ และถกเถียงถึงสัญลักษณ์ที่ซ่อนอยู่อย่างไม่รู้จบ
Nope เล่าเรื่องการมาเยือนของสัตว์ประหลาดนอกโลกที่แฝงตัวอยู่กับก้อนเมฆ (หรือที่มนุษย์มักเหมารวมเรียกว่าเอเลี่ยนหรือยูเอฟโอ) ที่ต้องการแสดงความเป็นเจ้าถิ่นในย่านไร่และฟาร์มม้าของตระกูล Haywood ที่ตอนนี้สองพี่น้องผิวสี OJ (Daniel Kaluuya ผู้ชนะออสการ์จาก Get Out) และ Em (Keke Palmer จาก Hustlers) เป็นเจ้าของ หลังจากที่พ่อเสียชีวิตจากวัตถุปริศนาที่ตกลงมาจากฟากฟ้า
This dream you’re chasing… where you end up at the top of the mountain… it’s the one you never wake up from.
สองพี่น้องพยายามจับภาพเอเลี่ยนให้ได้เพื่อเอาภาพหรือฟุตเทจส่งไปยังรายการทีวีหรือสื่อดัง ๆ เพื่อชื่อเสียงและเงินทอง โดยมี Angel (Brandon Perea) พนักงานร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าเชื้อสายละตินมาช่วยเป็นลูกมือในการติดตั้งและมอนิเตอร์กล้อง CCTV อีกแรง แต่ต่อมาพวกเขาพบว่า กล้องดิจิตัลหรือกล้องยุคใหม่ไม่สามารถใช้งานได้เมื่อสัตว์ประหลาดโผล่มา พวกเขาจึงไปขอความช่วยเหลือจาก Antlers Holst (Michael Wincott) ช่างภาพที่เชี่ยวชาญเรื่องการถ่ายทำสารคดีและกล้องอนาล็อก
ถัดจากฟาร์มม้าของ Haywood ยังมีสวนสนุกธีมคาวบอยตะวันตก ที่รันธุรกิจโดย Ricky “Jupe” Park (Steven Yeun ผู้เข้าชิงออสการ์จาก Minari) อดีตนักแสดงเด็กเชื้อสายเอเชีย ที่เคยแสดงซิตคอมสุดฮิตก่อนที่จะเกิดเหตุโศกนาฏกรรมลิงชิมแปนซีคลั่งและทำร้ายคนทั้งกองถ่าย
จะเห็นได้ว่าธุรกิจที่ Jupe ทำ, ซิตคอมที่ Jupe เคยแสดงกับลิงชิมแปนซีในวัยเยาว์, ฟาร์มม้าของ Haywood ที่พยายามฝึกม้าเพื่อใช้งานในกองถ่ายโฆษณาหรือหนังต่าง ๆ ในฮอลลีวู้ดมาตั้งแต่รุ่นก่อน ๆ, จนกระทั่งความพยายามถ่ายฟุตเทจของสัตว์ประหลาดส่งไปรายการต่าง ๆ ของสองพี่น้อง และการขายตั๋วโชว์สัตว์ประหลาดกับนักท่องเที่ยวของสวนสนุก ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของฟันเฟืองในระบอบทุนนิยม (Capitalism) ที่พยายามควบคุมและฝืนธรรมชาติของสัตว์ เพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ทางตัวเงินทั้งสิ้น
นอกจากนี้ หนังก็พยายามคารวะภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดในยุคก่อน เช่น บรรยากาศของหนังคาวบอยหรือเวสเทิร์น, การใช้กล้องอนาล็อก, เสื้อจากภาพยนตร์เรื่อง Scorpion King ซึ่งใช้สัตว์ในการถ่ายทำจริง, ภาพยนตร์ (ภาพเคลื่อนไหวขนาดสั้น) ชิ้นแรกของวงการที่ถ่ายทำโดย Eadweard Muybridge เมื่อปี 1878 ซึ่งเป็นภาพเคลื่อนไหวของคนผิวสีขี่ม้า (ชมคลิป https://www.youtube.com/watch?v=heRuLp7CyTM) ฯลฯ จนนักวิจารณ์ต่างชาติหลายคน รวมถึง Time กล่าวขานว่า Nope เป็นจดหมายรักถึงฮอลลีวู้ด เช่นเดียวกับ La La Land และ Once Upon a Time…In Hollywood
Since the moment pictures could move, we had skin in the game.
สำหรับคนดูทั่วไป ก็จะได้สัมผัสกับประสบการณ์การชมหนัง Horror/Thriller แบบใหม่ ที่อาจไม่จัดหนักและดูง่ายเท่า Get Out (2017) กับ Us (2019) เพราะหนังค่อนข้างสโลว์เบิร์นในช่วงแรก เน้นสร้างบรรยากาศความไม่รู้และความไม่น่าไว้วางใจ แต่ซีนการไล่ล่า ที่พยายามเอาชนะและจับภาพสัตว์ประหลาดบนฟ้านั้น หนังทำได้สดใหม่ ลุ้นระทึก และทรงพลังมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการถ่ายภาพด้วยกล้อง IMAX ของ Hoyte van Hoytema (จาก Dunkirk และ Interstellar) ด้วยนั่นเอง ประเด็นอีกอย่างที่คนยุคโซเชียลมีเดียทั่วไปน่าจะเข้าถึงได้ก็คือ ความพยายามสร้างคอนเทนต์เพื่อสร้างยอด (ไม่ยอดไลก์ ยอดวิว ก็ยอดเงิน) ซึ่งถ้าได้ดู Nope แล้ว อาจจะมีสติในการหิวแสงขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย
โดยสรุป Nope เป็นหนังที่ผ่านการคิดและเขียนบทมาอย่างดี (เช่นเดียวกับ Get Out ที่เขาได้ออสการ์บทดั้งเดิมยอดเยี่ยม) อีกทั้งยังคงเปิดประสบการณ์ความเหวอ แต่อาจไม่ได้เป็นหนังสนุกหรือ entertaining สำหรับทุกคน คนที่ชอบก็จะชอบไปเลย คนที่ไม่ชอบก็อาจไม่ชอบไปเลย แต่ปฏิเสธได้ยากว่า นี่คือหนังที่เหมาะกับการดูบนจอใหญ่และเป็นหนังดีเรื่องหนึ่งแห่งปี 2022 ที่ต้องพิสูจน์
“What’s a bad miracle?”