Past Lives เป็นเรื่องราวที่ based on ประสบการณ์จริงของ Celine Song ผู้กำกับและคนเขียนบทเอง มันจึงทำให้หนังโคตร real เสียจนเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเรากว่าจะเริ่มเขียนถึงหนังเรื่อง Past Lives และมันก็ยากเช่นกันที่จะเขียนถึงโดยไม่ take it too personal เมื่อหนังมันโคตร real และ relate กับชีวิตจริงขนาดนี้
ในหนังเล่าถึงคนเกาหลีสองคน Na Young หรือ Nora (Greta Lee) กับ Hae Sung (Teo Yoo) ที่เป็น childhood sweetheart ของกันและกัน วันนึง Nora ต้องย้ายไปอยู่อีกฟากหนึ่งของโลก และไม่ได้เจอกันนานถึง 24 ปีกว่าจะได้กลับมาบรรจบพบกันอีกครั้งที่นิวยอร์ก แต่ ณ ตอนนั้น Nora แต่งงานกับ Arthur (John Magaro). นักเขียนชาวอเมริกันแล้ว
หนังเปิดฉากแรกมาเป็นตัวละครหลักทั้งสามคนกำลังนั่งเรียงหน้ากันอยู่ที่บาร์แห่งหนึ่ง มีเสียงคนแปลกหน้าพูดถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาว่าทั้งสามคนเป็นอะไรกัน แต่มันก็เป็นการพูดถึงผ่านมุมมองป้าข้างบ้านหรือโต๊ะข้าง ๆ ที่ขี้เสือก ที่แทบไม่รู้จักอะไรคนที่กำลังนินทาอยู่เลยและพบเห็นพวกเขาเพียงแค่ผิวเผิน เช่นเดียวกับ คนทั่วไปที่ได้ดูตัวอย่าง Past Lives เพียงเผิน ๆ และอาจตัดสินว่ามันก็เป็นหนังรักสามเส้าทั่วไป
แต่จริง ๆ แล้ว สิ่งที่เราเห็นตรงหน้ามันล้วนมีตื้นลึกหนาบางและมีความซับซ้อนกว่านั้นหลายชั้นนัก และ Past Lives ก็เป็นหนังเกี่ยวกับความซับซ้อนของความรัก ความสัมพันธ์ และวิถีชีวิต ที่ผ่านการกลั่นกรอง มองโลก และรับมืออย่างเป็นผู้ใหญ่ที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ซึ่งมันทำให้เรื่องราวห่างไกลจากคำว่าน้ำเน่าหรือเมโลดราม่า
“The guy flew 13 hours to be here. I’m not going to tell you that you can’t see him or something.”
สอดคล้องกับชื่อหนัง “Past Lives” ที่แปลว่า “แต่ปางก่อน” — ธีมของหนังคือ “อินยอน” ซึ่งมีความหมายคล้าย ๆ กับ “โชคชะตา” หรือ “พรหมลิขิต” (fate & destiny) ในหนัง Nora อธิบายว่า ในความสัมพันธ์ต่าง ๆ หรือการพบเจอกัน หรือแค่การได้มาอยู่ที่ร้านกาแฟเดียวกัน ณ เวลาเดียวกัน มันเป็นเพราะเราผูกพันกันแต่ชาติปางกัน ดังนั้น การที่เราเจอกัน ไม่ว่าจะในรูปแบบไหน มันล้วนถูกลิขิตไว้หมดแล้ว
หนังทำให้เราเข้าใจว่าทำไมคนสองคนที่ผูกพันกันต้องแยกจากกัน ซึ่งนั่นก็คือ “อินยอน” และ “อินยอน” อีกเช่นกัน ทำให้พวกเขายังคงพันผูกต่อกันถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าเรื่องราวจะเกิดขึ้นจากความรักในวัยเยาว์ แต่หนังก็ไม่ได้โฟกัสถึงเรื่องราวในวันวาน ตรงกันข้าม หนังชวนให้นึกถึงปัจจุบันหรืออนาคต มากกว่าจมอยู่กับอดีต
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้หนังจะชวนให้มองไปข้างหน้าพร้อม ๆ กับตัวละครที่ก้าวไปข้างหน้า แต่หนังก็ยังมีกลิ่นอายของการ move on เป็นวงกลมอยู่เนือง ๆ เช่น ฉากม้าหมุน และฉากรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นของเล่นและยานพาหนะที่เหมือนจะพาเราไปข้างหน้า แต่สุดท้ายเส้นทางของมันก็ยังมีความวนลูปอยู่ที่เดิม
“If you leave something behind, you gain something, too.”
ก่อนที่ครอบครัวของ Nora จะย้ายไปแคนาดา แม่ของ Hae Sung ถามแม่ของ Nora ว่า พ่อแม่ของ Nora มีหน้าที่การงานที่ดีอยู่แล้วที่เกาหลี จะย้ายไปทำไม แล้วแม่ของ Nora ตอบว่า “If you leave something behind, you gain something, too.” ซึ่งประโยคนี้มันคือธีมของเรื่องราวของ Nora ในหนังเลยก็ว่าได้
Nora บอกเพื่อน ๆ ว่า เธออยากย้ายประเทศ เพราะ “Koreans don’t win the Nobel Prize for literature” หมายความว่า ถ้าเธออยากโตไปเป็นนักเขียนและอยากได้รางวัลโนเบล เธอต้องละทิ้งสัญชาติเกาหลี วิถีชีวิต และความสัมพันธ์บางอย่าง แล้วย้ายไปเป็นประชากรของประเทศที่แตกต่างจากที่ที่เธอคุ้นเคยอย่างแคนาดาหรืออเมริกา เพราะชีวิตมันไม่สามารถเป็นไปตามที่เราต้องการได้ไปทั้งหมด
ดังนั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ใช่ว่าเกิดจาก “อินยอน” 100% เพราะถึงแม้การที่เราได้เกิดมาในที่ที่หนึ่ง หรือได้เจอกันและกัน ณ ที่แห่งหนึ่งมันจะเรียกว่าเป็น “พรหมลิขิต” ได้ก็จริง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น มันต้องมีความตั้งใจหรือการตัดสินใจเลือกของเราเข้ามาข้องเกี่ยว เรียกว่า “เราลิขิต”
ในปีที่ 12 หลังจากจากลา ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Facebook กับ Skype กำลังบูม ทำให้ Nora กับ Hae Sung ได้มีโอกาสกลับมาเจอกันบนโลกออนไลน์ มันทำให้เราหวนถึงเรื่องราวของตัวเองที่เคยต้องพึ่งพาแอปฯ เหล่านี้ ที่ช่วยลดอุปสรรคเรื่องระยะทาง และในขณะเดียวกันก็มีอุปสรรคใหม่อย่างเน็ตกากหรือภาพค้าง และยังไม่นับอุปสรรคเรื่องเวลา ที่ต่างกันเป็นครึ่งวัน ไหนจะตารางชีวิตการเรียนการงานที่แน่นเอี๊ยดสไตล์วัยรุ่นสร้างตัว
ในหนัง ณ ขณะนั้น Nora เพิ่งย้ายจากแคนาดามาอยู่นิวยอร์กโดยลำพัง และกำลังไปได้สวยในเส้นทางอาชีพนักเขียนบทละคร เธอเห็น Hae Sung มาคอนเมนต์บนหน้าเพจ Facebook ของพ่อของเธอที่เป็น filmmaker เธอจึงตัดสินใจกด Add Friend และส่งข้อความไปหา Hae Sung ก่อน (ซึ่งเธอสามารถเลือกที่จะ ignore เขาก็ได้) แรก ๆ พวกเขามีความสุขมากที่ได้กลับมาคุยกัน แต่สักพักก็เริ่มเหนื่อยด้วยปัจจัยเรื่องเวลาและสัญญาณอินเตอร์เน็ต ที่สำคัญ พวกเขาไม่สามารถหาเวลาไปเจอตัวเป็น ๆ กันได้ในเร็ววัน และไม่สามารถมองเห็นอนาคตที่มีร่วมกันได้ สุดท้าย… Nora เองอีกเช่นกัน ตัดสินใจขอ “ห่างกัน” อีกครั้ง เพื่อกลับไปโฟกัสกับโลกของเธอ
Nora เป็นคนมีแพชชั่นและเป้าหมายชัดเจนมาแต่เด็ก ดูเหมือนว่าหลังจากย้ายประเทศ เธอคิดถึง Hae Sung เพียงแค่ครั้งคราวในฐานะ puppy love หรือ “kid in her head” และเป็นเพียงความทรงจำดี ๆ ที่เธอมีจากประเทศบ้านเกิดเท่านั้น ในขณะที่ Hae Sung ผู้ถูก left behind อย่างไม่ทันตั้งตัว เป็นฝ่ายที่คิดถึงและตามหา Nora เสมอมา และยังไม่สามารถ move on ได้
“If you had never left Seoul, would I still have looked for you?”
ในปีที่ 24 หลังการจากลา ดูเหมือน Hae Sung จะมีความพร้อมมากขึ้น สามารถบินมาหา Nora ที่นิวยอร์กได้ ถึงแม้ Nora จะมีชีวิตที่ลงตัวและแต่งงานไปหลายปีแล้วก็ตาม แต่มันก็จะได้เป็นทริปปลดล็อกความรู้สึกของ Hae Sung
เราเองก็มีคำถาม “What if?” แปลก ๆ วนเวียนอยู่ในหัวและความรู้สึกที่ติดอยู่ในใจเสมอมาเช่นเดียวกับ Hae Sung — ถ้าวันนั้นเราได้คบกัน… ถ้าวันนั้นเธอไม่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ… เราจะยังคิดถึงเธอไหม เราจะยังอยากเจอหรืออยากคุยกับเธออยู่ไหม หรือเราจะได้อยู่ด้วยกันจนถึงขั้นสร้างครอบครัวด้วยกันไหม
สำหรับ Hae Sung แล้ว ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ในภาพจำของเขา Nora ก็ยังเป็นแค่ Na Young เด็กสาวขี้แยที่เขารู้จักที่โซลในวัยเด็ก (อารมณ์เหมือน เจี๊ยบ-น้อยหน่า ในเรื่อง “แฟนฉัน“) ดังนั้น มันจึงสำคัญมาก ๆ ที่เขาจะไปรู้จักกับ Na Young ในฐานะ Nora สาวแกร่งชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ที่เติบโต 12 ปีในแคนาดา และอีก 12 ปีในนิวยอร์ก
การมาเจอ Nora คนใหม่ ที่ Na Young คนเดิมที่เขารู้จัก และมีสามีที่ดีอย่าง Arthur อยู่เคียงข้าง (ซึ่งเป็นตัวละครที่น่าเห็นใจมาก ๆ คนหนึ่ง) รวมถึงแนวความคิดและวัฒนธรรมที่ถูกหล่อหลอมและตีกรอบด้วยสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันมาก ๆ นอกจาก “ภาษา” แล้ว พวกเขาแทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลย มันก็ช่วยให้พวกเขาจัดการกับความรู้สึกที่มีต่อความสัมพันธ์นี้ได้ง่ายขึ้น ในทางตรงกันข้าม ถ้า Hae Sung ไม่ได้เจอกับ Nora อีกครั้ง มันก็คงเป็นสิ่งที่ค้างคาในใจ ทำให้เขาไม่สามารถเริ่มต้นใหม่หรือก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแท้จริง
หลังจากส่ง Hae Sung กลับเกาหลี… หลังจาก Nora ที่เข้มแข็งมานาน เริ่มกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่และร้องไห้ออกมา กลับไปโผกอดสามีของเธอ… ณ โลกความเป็นจริง…. ณ where she belongs