เจ้าหญิงคนแรกของ Disney ที่เป็นชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สังเกตได้ว่า ดิสนีย์ในยุคหลัง ๆ มีการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะการสร้างตัวละครเอกที่ non-white และสตอรี่ที่ไม่ได้ตะวันตกจ๋าแบบดิสนีย์ยุคดั้งเดิม เช่น Soul ที่ตัวเอกเป็นชายอเมริกันผิวสีเชื้อสายแอฟริกัน, Coco ที่มีความเม็กซิกันแทบ 100% และล่าสุดก็แอนิเมชั่นที่ดิสนีย์สร้างในยุค COVID-19 อย่าง RAYA AND THE LAST DRAGON ซึ่งเป็นครั้งแรกของดิสนีย์ที่ให้ตัวละเอกและ setting ของเรื่องเป็นภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะโดยปกติแล้ว เวลาพูดถึงเอเชีย คนต่างชาติก็จะนึกถึงแต่จีน ญี่ปุ่น หรือเกาหลี ซึ่งเป็นกลุ่มเอเชียตะวันออกกันเสียส่วนใหญ่
เรื่องย่อ RAYA AND THE LAST DRAGON
RAYA AND THE LAST DRAGON เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในดินแดน Kumandra ซึ่งเป็นเสมือนภูมิภาค Southeast Asia แต่ทว่าไม่ได้มีการแบ่งแยกพรมแดนเป็นประเทศ ๆ อย่างที่เราคุ้นเคย หากแต่แบ่งเป็นชื่อเผ่าตามชื่อส่วนต่าง ๆ ของมังกร ได้แก่ Fang (เผ่าเขี้ยว), Talon (เผ่ากรงเล็บ), Spine (เผ่าสันหลัง), Tail (เผ่าหาง), และ Heart (เผ่าหัวใจ)
Raya (ชาวอเมริกันเชื้อสายเวียดนาม Kelly Marie Tran จาก Star Wars – The Last Jedi) เป็นลูกสาวของ Chief Benja (ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี Daniel Dae Kim จาก Divergent) หัวหน้าเผ่า Heart และเป็นผู้ดูแลมณีมังกร (dragon gem) ซึ่งเป็นอัญมณีสำคัญที่ช่วยปกปักรักษาบ้านเมืองจาก “Druun” ซึ่งเป็นหมอกพิษสีม่วง ๆ พัดผ่านที่ใด ที่นั่นก็จะกลายเป็นทะเลทราย สัตว์และผู้คนก็จะกลายเป็นรูปปั้น
Raya ถูก Namaari เจ้าหญิงแห่งเผ่าเขี้ยว (ชาวอังกฤษเชื้อสายจีน Gemma Chan จาก Crazy Rich Asians) คนที่เธอคิดว่าเป็นเพื่อนอย่าง หักหลัง มาขโมย dragon gem และเป็นเหตุให้ dragon gem แตกเป็น 5 ส่วน จนปีศาจร้ายอย่าง Druun กลับมาอาละวาดอีกครั้ง ส่งผลให้ Kumandra กลายเป็นดินแดนดิสโธเปีย และพ่อของ Raya ก็กลายเป็นรูปปั้นหินด้วยเช่นกัน ส่วน Raya หนีไปได้พร้อมกับเศษ dragon gem 1 ชิ้น และ Tuk Tuk (Alan Tudyk ผู้ให้เสียง K-2SO ใน Rogue One: A Star Wars Story) แมลงคู่ใจของเธอ (ซึ่งพอโตมา ก็เป็นพาหนะกลิ้ง ๆ ได้เหมือนเจ้า BB-8)
6 ปีต่อมา Raya ได้เจอและฟื้นคืนชีพมังกรตัวสุดท้าย Sisu (ชาวอเมริกันเชื้อสายจีนและเกาหลี Awkwafina จาก Crazy Rich Asians) ขึ้นมา และเริ่มภารกิจรวบรวม dragon gem ทั้งห้าอีกครั้งเพราะเชื่อว่ามังกรอย่าง Sisu มีพลังวิเศษสามารถผนึกรวม dragon gem เป็นหนึ่งเดียวกันได้อีกครั้ง ระหว่างการผจญภัยไปเผ่าต่าง ๆ พวกเธอก็ได้เจอเพื่อนใหม่ ตั้งแต่ Boun (Izaac Wang จาก Good Boys), Noi (Thalia Tran จาก Little), และ Tong (ชาวอังกฤษเชื้อสายจีน Benedict Wong จาก Doctor Strange) ซึ่ง sidekicks เหล่านี้ น่ารักและเป็นสีสันที่ขาดไม่ได้กันทุกคน
นำเสนออาเซียนสู่ระดับโลก โดยคนอาเซียนระดับโลก
RAYA AND THE LAST DRAGON เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สมัยโบราณ จะบอกว่ามีความจักร ๆ วงศ์ ๆ นิดนึงก็ไม่ผิด เพราะมีเจ้าหญิง มีการต่อสู้ มีมังกร มีสัตว์ประหลาด มีความแฟนตาซี ฯลฯ แต่มันเป็นจักร ๆ วงศ์ ๆ ในโปรดักชั่นและมาตรฐานระดับโลก ที่ยังคงถ่ายทอดมุมมองจากคนที่เติบโตมาในแบบอาเซียนอยู่ด้วย กล่าวคือ คนเขียนบทหลักอย่าง Qui Nguyen (จาก The Society) เป็นคนอเมริกันเชื้อสายเวียดนาม และ คนเขียนบทอีกคน Adele Lim (จาก Crazy Rich Asians) ก็เกิดและโตที่มาเลเซีย นอกจากนี้ ยังมี คุณฝน วีระสุนทร (Fawn Veerasunthorn) ที่เรารู้จักกันดีว่าเป็น “คนไทยในดิสนีย์” (เธออยู่ในทีม Frozen และ Moana ฯลฯ ด้วย) ซึ่งในเรื่องนี้ เธอรับผิดชอบเป็น head of story ใน Animation Department ดูแลเรื่องสตอรี่โดยตรง
ถ้าใครได้ดูแล้ว ก็คงชมแทบเป็นเสียงเดียวกันว่า ทีมงานมีความเข้าใจพื้นฐานและมีการรีเซิชเกี่ยวกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้มาอย่างดี ทั้งด้านภูมิศาสตร์ สถาปัตยกรรม ซึ่งได้รับคำปรึกษาจากสถาปนิกชาวไทย “ตั้น-ณัฐกฤต” ที่เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ จนถึงด้านวัฒนธรรมความเป็นอยู่ เช่น อาหาร, เครื่องแต่งกาย, หรือ “วัฒนธรรมแห่งสายน้ำ” ที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของพวกเราที่ล้วนผูกพันและเกี่ยวข้องกับแม่น้ำลำธาร ตั้งแต่ตลาดน้ำ หรือทำเลยุทธศาสตร์ที่มีแม่น้ำล้อมรอบเหมือนอยุธยาสมัยก่อน หรืออย่างมังกร ก็เป็นมังกรที่ว่ายน้ำเก่งเหมือนพญานาค (ที่หน้าตาเหมือนโพนี่) มากกว่าเหมือนมังกรที่พ่นไฟและบินได้อย่างที่เราเห็นในหนังเรื่องอื่น ๆ เป็นต้น
ในส่วนของความเชื่อของภูมิภาค ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทีมงานก็พยายามไม่แตะต้องหรือบิดเบือน หนังจึงไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อนำเสนอความเป็นอาเซียนจ๋าจนเกินไป เหมือนหนังไทยหลาย ๆ เรื่องที่พยายามยัดเยียดความเป็นไทย โดยเฉพาะศาสนาและวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามลงไปให้คนต่างชาติกระเดือก ในทางตรงกันข้าม RAYA AND THE LAST DRAGON เลือกนำเสนอประเด็น, message, หรือความเชื่อที่เป็นสากล อย่างเรื่อง trust หรือความไว้ใจ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ กับ harmony หรือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวที่ไม่แบ่งแยก ซึ่งเด็กและผู้ใหญ่ในทุกเชื้อชาติ-ศาสนาสามารถอินได้ไม่ยาก
ถึงแม้จะมีกระแสดราม่าว่า นักแสดงที่มาพากย์เสียงภาษาอังกฤษให้บทหลัก ๆ เกือบทั้งหมดใน RAYA AND THE LAST DRAGON มีเชื้อสายทาง East Asia เช่น จีน, เกาหลี ทั้งนั้น ยกเว้น Kelly Marie Tran ที่ให้เสียง Raya ที่มีเชื้อสายอาเซียนโดยแท้จริง (เวียดนาม) แต่เราคิดว่า มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะการสร้างหนังที่ทุกอย่างในหนังคือ Southeast Asia เนี่ย มันถือเป็นเรื่องใหม่ ทุกอย่างควรค่อยเป็นค่อยไป ดิสนีย์เองจึงจำเป็นต้องคัดเลือกนักแสดงเชื้อสายเอเชียที่มีชื่อเสียงหรือเป็นที่รู้จักพอประมาณหนึ่งในแวดวงฮอลลีวู้ด เพื่อตีตลาดและดึงดูดให้คนดูทั่วไปเปิดใจมาดูหนังเรื่องนี้ก่อน ดังนั้น สำหรับเรา นี่คือจุดเริ่มต้นที่ดีและเหมาะสมแล้ว
นอกจากนี้ ผู้กำกับอย่าง Don Hall (จาก Big Hero 6) และ Carlos López Estrada (จาก Blindspotting) ไม่ได้พยายามสร้าง diversity หรือถ่ายทอดความอาเซียนไปสู่สายตาชาวโลกเท่านั้น แต่พวกเขาและดิสนีย์กำลังพยายามนำเสนอประเด็น Inclusion ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสดใหม่และท้าทายสำหรับดิสนีย์ ง่าย ๆ เลย ยกตัวอย่างเช่น ดินแดน Kumandra เขาออกแบบมาเพื่อ represent ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์โดยภาพรวม มากกว่าจะเจาะจงที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ละเผ่าย่อยเองก็ไม่ได้ represent ประเทศใดประเทศหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งเราคิดว่า อันนี้มันคูลมาก มันไม่ได้ stereotyping และยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมในอนาคตที่น่าจะเป็นมากกว่าการแบ่งแยกชาติใครชาติมันซึ่งเป็นแนวคิดที่ค่อนข้างล้าสมัยแล้วในยุค 2021 อีกด้วย
ฉายแล้วในโรงภาพยนตร์
RAYA AND THE LAST DRAGON ฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์ ทั้งเสียงภาษาไทยและเสียงภาษาอังกฤษ โดยส่วนตัว เราดูเสียงภาษาอังกฤษไป และประทับใจการพากย์เป็นมังกรของ Awkwafina มาก เหมือนเห็นหน้านางลอยมาตลอดเวลา แต่คาแรกเตอร์ของ Raya ก็เหมือน “ญาญ่า-อุรัสยา” จริง (ทีมงานเอ่ยปากเองว่า ตัวละครนี้ inspired มาจากญาญ่า) ก็คิดว่า ถ้ามีเวลาก็อยากจะไปดูพากย์ไทยด้วย เพราะหนังมันดี สนุกครบรส และน่ารักมากจริง ๆ เรายินดีเข้าไปดูซ้ำอย่างเต็มใจ ชอบมาก ๆ
ป.ล. “Us Again” แอนิเมชั่นสั้นปะหน้า ความยาว 7 นาที ก็ไม่ควรพลาด