เป็นอีกครั้งที่ต้องเกริ่นว่า “เราไม่ใช่แฟน Star Wars” แต่ยอมรับว่า A New Hope (1977), The Empire Strikes Back (1980), และ Return of the Jedi (1983) เป็นหนังที่ยอดเยี่ยมมากเมื่อนึกถึงบริบทในยุคสมัยนั้น ส่วน The Force Awakens (2015) และ The Last Jedi (2017) ก็ให้ประสบการณ์การดูหนังในโรงภาพยนตร์จอยักษ์กับเราได้อย่างน่าพึงพอใจมาก และภาคปัจฉิมบทนี้ก็ได้ J.J. Abrams (ผู้กำกับ The Force Awakens) กลับมากำกับด้วย ดังนั้น เราก็ค่อนข้างคาดหวังว่าบทสรุปของไตรภาคนี้จะต้องจบได้อย่างตราตรึงไม่มากก็น้อย
ด้วยความคาดหวังส่วนตัวตามที่กล่าวมาข้างต้น ประกอบด้วยฟุตเทจ 6 นาทีจากหนังใหม่เรื่อง Tenet ของเสด็จพ่อ Nolan ที่ปะหน้าหนังก็สูบฉีดอะดรีนาลีนของคนดูไว้ก่อน Star Wars IX: The Rise of Skywalker จะเริ่มฉายอยู่ไม่ใช่น้อย (ยกเว้นใครที่เข้าโรงช้า ก็ไม่ได้ดูตัวอย่าง Tenet ขนาดยาวดังกล่าว) มันก็ทำให้เรายิ่งคาดหวังยิ่งขึ้น ก่อนที่จะไปเผชิญกับความผิดหวัง
Star Wars IX: The Rise of Skywalker ยังคงวนเวียนอยู่กับการค้นหาตัวตนและชาติกำเนิดของ Rey (Daisy Ridley) และ Kylo Ren (Adam Driver) ก็ยังคงตามตอแยจะเอา Rey มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเขาที่ด้านมืด แต่เพิ่มเติมคือ การกลับมาของ Emperor Palpatine (Ian McDiarmid) ที่มอบจักรวรรดิให้ Ren หาก Ren สามารถกำจัดเจ้า Rey ได้
Kylo Ren มีกองทัพ แต่ไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก มีเขม่นกับ General Hux (Domhnall Gleeson) และ General Pryde (Richard E. Grant) บ้างประปราย แต่ก็เป็นพาร์ทที่พอดูได้ขำ ๆ เหมือนสภาโจ๊ก ส่วนกลุ่มของ Rey ได้แก่ Rey, Finn (John Boyega), Poe (Oscar Isaac), Chewie (Joonas Suotamo), BB-8, และ C-3PO (Anthony Daniels) มีเคมีที่ดี น่ารัก และมีเล่นมุกกันพอบันเทิงตลอด โดยรวมก็คือ พาร์ทคน คือพาร์ทที่ทำให้ไม่ง่วง
แต่ในส่วนของฉากสงคราม การดวลไลท์เซเบอร์ หรือการผจญภัยต่าง ๆ ล้วนน่าเบื่อ จืดชืด และไม่มีอะไรสดใหม่หรือความน่าตื่นตาตื่นใจอีกต่อไป พล็อตเรื่องก็เชย ง่ายดาย คาดเดาได้ มาทางหนังครอบครัว แฟมิลี่จ๋าและเหมือนเน้นเซอร์วิซคนดูมากกว่าที่จะทำบทหนังให้มันมีคุณภาพเหนือความคาดหมายของคนดูไปเลย
ถ้าให้มองแบบไม่คาดหวัง ก็มองว่า ถ้าจับแยกเป็นซีน ๆ มันก็ดูได้ เรื่อย ๆ เพลิน ๆ แบบว่า เออ ก็โอเค ไม่แย่เท่าไหร่ แต่สุดท้าย มันก็ต้องมองว่ามันเป็นหนังใหญ่อยู่ดี ซึ่งพอมองแบบนี้ มันเห็นเลยว่า การเล่าเรื่อง เดินเรื่อง หรือการปะติดปะต่อ คือไม่โอเค ไม่คุ้มทุน ไม่มีอะไรน่าจดจำ
เข้าใจว่าเงื่อนไขการทำภาคนี้มันเยอะ ไหนจะต้องเป็นภาคจบที่มันจะต้องสวยงามและยิ่งใหญ่ ไหนจะต้องเอาใจคนดู (ที่ชิพนั่นชิพนี่บ้างล่ะ ที่แอนตี้นี่นั่นโน่นบ้างล่ะ) ไหนจะต้องเคารพและทิ้งทวน เจ้าหญิงหรือนายพล Leia (อย่างที่เราทราบกันอยู่แล้วว่า Carrie Fisher เสียชีวิตแล้วเมื่อปี 2016 ดังนั้น ตัวละครของเธอในภาคนี้จึงครีเอทมาจากฟุตเทจเก่า) แต่สุดท้าย นี่คือ Star Wars ไง ซึ่ง J.J. Abrams และดิสนีย์ ต้องกลับไประลึกก่อนว่า แก่นสารหรือพอยต์หลักจริง ๆ ของ Star Wars คืออะไร
The Rise of Skywalker อาจกล่าวได้ว่า คือ The Fall of Star Wars Saga หรือจะบอกว่า ควรหยุดทำ และให้คนดูคงเหลือแต่ความทรงจำดี ๆ จากภาคเก่า ๆ ก็คงจะไม่ได้เป็นการพูดที่เกินไปนัก อย่างที่บอก เราชอบภาค 7-8 นะ ให้คะแนน 8-8.5 ได้เลย แต่ภาค 9 ภาคนี้คือ ถือว่ามาตรฐานตกไปมาก ในความคิดเห็นส่วนตัวของเรา
แต่ถ้าตัดความเป็น Star Wars ออกไป และมองว่ามันเป็นหนังไซไฟอวกาศเรื่องหนึ่งหรือหนังตลาดเรื่องหนึ่งเฉย ๆ (นั่นหมายถึง ตัดความคาดหวังในแบรนด์นี้ออกไป) ก็ยังยอมรับว่า เป็นหนังที่ให้ความบันเทิงครบรสและโปรดักชั่นรวม ๆ ทำได้ดีเกินมาตรฐานหนังทั่วไปอยู่นั่นแหละ
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 7/10
114 comments
Comments are closed.