พี่ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ เคยมีส่วนช่วยปูทางใหม่ ๆ ให้อุตสาหกรรมหนังไทยมาแล้วตอนกำกับหนัง รักแห่งสยาม เมื่อ 17 ปีก่อน และในปีนี้ เขากำลังสร้างปรากฏการณ์สร้างความหวังใหม่ให้กับวงการหนังบ้านเราอีกครั้ง เพราะ Taklee Genesis เป็นหนังไ่ทยไซไฟที่ฟอร์มยักษ์ที่สุด ซีจีจัดเต็มที่สุด และทะเยอะทะยานที่สุดเท่าที่เคยดูหนังไทยมาแล้ว ที่สำคัญ ภายใต้เปลือกนอกที่ดูอินเตอร์หรือสากล มันยังมี DNA ของความเป็นไทยชัดมาก ทั้งภาษา วัฒนธรรม โลเกชั่น ประวัติศาสตร์ การเมือง อารยธรรม ความเชื่อ ฯลฯ ซึ่งหาดูได้ยากยิ่งถึงแม้ในปี 2024 แล้วก็ตาม
ช่วงเปิดเรื่องที่เล่าถึงความเชื่อที่แตกต่างกันของชาวตะวันตกและตะวันออก โดยมี สเตลล่า (น้องนีน่า จาก ธี่หยด) เด็กหญิงลูกครึ่ง เป็นตัวเชื่อมระหว่างสองโลก ซึ่งเราชอบช่วงเปิดเรื่องนี้ เราชอบที่หนังกล้าตั้งคำถามและกล้าเล่าถึงพิธีกรรมของชาวบ้านท้องถิ่นว่า ใครเป็นคนริเริ่มสร้างขึ้น และสร้างมาเพื่อให้กลัวหรือให้ความหวังกันแน่ แล้วระหว่างทาง เราจะชอบประเด็นการเมืองที่แฝงอยู่ในหนังอีก
เรื่องราวหลักเริ่มต้นขึ้นเมื่อ สเตลล่าเติบโตมาเป็นหญิงสาวสู้ชีวิต (พอลล่า เทย์เลอร์) เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวของ วาเลน (น้องนีน่า อะเกน) ต้องกลับมาบ้านเกิดอีกครั้งเมื่อเพื่อนเก่า อิษฐ์ (ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล) โทรมาแจ้งว่าแม่ของเธออาการไม่ดี ทำให้เธอได้พบกับ ลุงผู้ใหญ่จำนูญ (ภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล) กับลูกชายของเขา ก้อง (วอร์ วนรัตน์) อีกครั้ง และพบว่าพวกเขาแทบไม่แก่ลงเลย
ที่นี่ สเตลล่าได้รับข้อความจากพ่อฝรั่งที่หายไปตั้งแต่เธอยังเด็กว่า พ่อหลุดไปอยู่อีกมิติเวลา และเพื่อช่วยพ่อกลับมา ภารกิจของเธอคือ ต้องเอากำไลของลุงผู้ใหญ่ไปเก็บแหวนวิเศษในป่าต้องห้าม แล้วไปที่ค่ายรามสูร สถานีเรดาร์ร้างของกองทัพอเมริกันที่สร้างไว้ในช่วงสงครามเวียดนาม เพื่อเปิดเครื่อง ตาคลี เจเนซิส ซึ่งจะช่วยให้สามารถเดินทางไปที่ไหนและช่วงเวลาใดก็ได้ แต่ก่อนอื่น เธอต้องเดินทางไปหลาย ๆ ช่วงเวลา ทั้งอดีตและอนาคต เพื่อตามเก็บชิ้นส่วนของแหวนให้ครบเสียก่อน

หลายคนคงคุ้นเคยกับคอนเซ็ปต์การเดินทางข้ามเวลากันมาเยอะแล้ว คงเข้าใจดีว่า การที่ตัวแปรหนึ่งเดินทางข้ามเวลาไปอีกไทม์ไลน์หนึ่งแล้วทำอะไรก็ตามแต่ มันล้วนมีผลกระทบเล็กใหญ่ตามมา จนค่อย ๆ กลายเป็นความยุ่งเหยิงไม่รู้จบ ซึ่งระดับพี่มะเดี่ยวเองก็ยังแทบเอาไม่อยู่
แล้วซีนที่ต้องใช้จินตนาการในการรังสรรค์เยอะ ๆ เราคิดว่าพี่แกยังทำไม่ถึง ทุกอย่างมันดูปลอม ไม่สมจริง ซีนยุคบ้านเชียงยังดีที่มีตัวละครและการแสดงของ ทราย เจริญปุระ ที่ดูเรียลจนดูเป็นส่วนเกินของหนัง (เพราะอย่างอื่นดูปลอมหมด) อย่างซีนโลกอนาคต 200 ปีข้างหน้า นี่เหนื่อยมาก การแสดงและเสื้อผ้าหน้าผมดูผิดที่ผิดทางและขัดหูขัดตาไปหมด แต่ซีนอย่าง 6ตุลา พี่แกทำดีนะ สารก็ดี เซตติ้งก็ดี จริง ๆ พี่แกคงเหมาะกับดราม่าหรือ realistic ไม่ใช่ surreal ไกลตัว หรือไซไฟจัด ๆ
นอกจากนี้ ตัวละครนำมันยังไม่น่าติดตาม ไม่น่าเอาใจช่วย และไม่อาจพาคนดูไปเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางได้ อย่างตัวละครของปีเตอร์ที่คาแรกเตอร์ขาด ๆ เกิน ๆ ไม่ชัดเจน พอประกบคู่กับ พอลล่า ก็ยิ่งเหนื่อยแพ็คคู่ กลายเป็นน้องนีน่าที่ช่วยแบกซีน แล้วจริง ๆ บทมันเล่นได้อีกเยอะ เช่น ปมของลูกที่เป็น ”ภาระ“ ของพ่อแม่ หรือปม ”ความผิดพลาดล้มเหลว“ ที่อยากไปแก้ไขอดีต ประเด็น what-ifs ก็บางเบามาก และปกติพี่มะเดี่ยว ก็ถนัดดราม่าอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้พี่แกคงต้องแบ่งพลังไปทุ่มกับซีจีด้วย และไหนจะความอีรุงตุงนังของไทม์ไลน์ต่าง ๆ อีก
ถึงแม้บทจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ก็เป็นบาดแผลของคนที่ช่วยให้คนทำหนังไทยรุ่นหลัง ๆ ได้เดินไปข้างหน้าในทิศทางที่หลากหลายหรือมิติที่แตกต่างขึ้นจากเดิมได้ง่ายขึ้น และถ้ามองโดยภาพรวมแล้ว Taklee Genesis เป็นหนังไทยที่น่าชื่นชมและน่าสนับสนุน ดีเกินมาตรฐานหนังไทย โดยเฉพาะเรื่องไซไฟและซีจี ซึ่งนี่เป็นหนังไทยเรื่องแรกที่จัดจำหน่ายโดย Warner Bros ด้วย การที่บริษัทระดับโลกสนับสนุนกันขนาดนี้นับเป็นสัญญาณที่ดี ช่วยการันตีระดับหนึ่งว่า โปรดักชั่นมันโอเค
Taklee Genesis มีฉากที่ถ่ายด้วยอัตราส่วนพิเศษถึง 1.38 ชั่วโมง (จากความยาวหนัง 2.26 ชั่วโมง) ถ้าดูกับจอ IMAX เราจะได้รับชมภาพในสัดส่วนที่ขยายพิเศษกว่าชมในโรงปกติ โดยเป็นหนังไทยเรื่องที่สองที่ได้ฉายในโรง IMAX (ต่อจาก ธี่หยด) ซึ่งเขาเปิดโอกาสให้เราสามารถไปรับชมประสบการณ์ในโรง IMAX ในราคาเทียบเท่าการดูในโรงปกติอีกด้วย ดังนั้น ถ้าใครมีโรง IMAX อยู่ใกล้ ๆ อย่าพลาดโอกาสที่จะ Taklee Genesis กับ IMAX เด็ดขาด