The Apprentice หนังชีวประวัติลุง Donald Trump เข้าฉายได้ถูกจังหวะ เพราะ Trump เพิ่งชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีมาสด ๆ ร้อน ๆ ทำให้ The Apprentice เป็นหนังชีวประวัติของผู้นำประเทศที่แตกต่างจากเรื่องใดใดที่เราเคยดู เพราะเราจะได้เห็นแต่ด้าน “เทาเข้ม” และแทบหาด้าน “ขาว” ไม่เจอเลยนอกจากสีผิว
The Apprentice เป็นหนังเกี่ยวกับ อำนาจและการหมกมุ่น บอกเล่าเรื่องของ Trump (Sebastian Stan จาก Captain America) ตั้งแต่วัยหนุ่มในยุค 70s ที่ยังเป็นแค่เด็กใต้อาณัติของพ่อ ก่อนจะมาพบกับทนายหัวหมอ Roy Cohn (Jeremy Strong ผู้ชนะลูกโลกทองคำจาก Succession) ผู้มีบทบาทสำคัญ เป็นเสมือนทั้งพ่อและเมนเทอร์ ที่ปลุกปั้นให้เขาเป็น Donald Trump ที่โลกรู้จักอย่างทุกวันนี้ โดยช่วงแรกของหนัง หนังจะเน้นที่ Roy Cohn ก่อนเลย เพราะ ณ ช่วงนั้น Trump ยังดูอ่อนแอ ไร้พลังอำนาจ และไม่มีอะไรน่าดึงดูดเลยสักนิด
You have to be willing to do anything to anyone to win.
กฎเหล็ก 3 ข้อ ของการเป็นผู้ชนะที่ Trump เรียนรู้จาก Roy Cohn และเขาก็นำมาปรับใช้กับทุก ๆ อย่างในชีวิต รวมถึงด้านความสัมพันธ์กับ Ivana (Maria Bakalova ผู้ชิงออสการ์จาก Borat) ภรรยาคนแรกของเขา ก็คือ…
- Attack, attack, attack. (โจมตี โจมตี โจมตี)
- Admit nothing, deny everything. (อย่ายอมรับ ปฏิเสธให้หมด)
- Always claim victory, and never admit defeat. (เคลมว่าตัวเองชนะไว้ก่อน อย่ายอมรับว่าพ่ายแพ้)

คนที่รู้จัก Trump เพียงผิวเผินก็อาจไม่ได้รู้จัก “เรื่องของเขา” มากกว่าเดิมเท่าไหร่จากหนังเรื่องนี้ เพราะหนังเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเมนเทอร์ของเขา ผู้บ่มเพาะและหล่อหลอมให้เขา ซึ่งพื้นฐานก็เป็นคนทะเยอทะยาน ขี้โอ่ และหมกมุ่นกับพลังอำนาจอยู่แล้ว กลายเป็นลุงสุดตึง-สุดโต่ง จนก้าวไปถึงยอดพีระมิดของประเทศโลกที่หนึ่งได้อย่างทุกวันนี้
ในขณะเดียวกัน หนังก็พยายามเล่าด้าน “เทาเข้ม” แทบทุกมิติรอบตัว Trump ตั้งแต่ racist, อสังหาฯ, ทุนนิยม, การเมือง, ครอบครัว, เซ็กส์ และชีวิตคู่ไปด้วย ซึ่งก็ไม่สามารถลงลึกแต่ละพาร์ทได้มากนัก แต่ก็เน้นย้ำว่า เขาหมกมุ่นกับอำนาจ และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อชนะและเพื่อ dominate
จุดเด่นที่แข็งแกร่งมาก ๆ ของ The Apprentice คือการถ่ายทำที่ให้ฟีลเหมือนอยู่ในยุค 70s-80s จริง ๆ และการแสดงที่ชวนเชื่ออย่างยอดเยี่ยมของ Jeremy Strong และ Sebastian Stan ที่ไม่ใช่แค่สร้างบุคลิกเหมือนบุคคลจริงมาก ๆ แต่ยังมีอินเนอร์ที่ทรงพลังและดึงคนดูอยู่หมัด ทำให้คนดูเข้าถึงเลยว่า ช่วงไหนที่ใครมีอำนาจ ไม่มีอำนาจ และแต่ละคนใช้อำนาจอย่างไร
Play the man, not the ball.