ดาร์กยิ่งกว่า แบทแมน ทุกเวอร์ชั่น
Batman เป็นตัวละครที่ถูกนำมาผลิตซ้ำมากที่สุดคนหนึ่งในจักรวาลฮีโร่ โดย Batman เวอร์ชั่น Christopher Nolan x Christian Bale ได้รับคำชื่นชมอย่างมาก ในขณะที่ Batman ของ Zack Snyder x Ben Affleck ซึ่งมาทีหลัง กลับออกมาค่อนข้างแป้ก
แต่ฝั่ง DC ก็ไม่ยอมแพ้ ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มจับทางตัวเองได้จากที่เราได้เห็นกันใน Joker เวอร์ชั่น Todd Phillips x Joaquin Phoenix ก่อนจะนำมาสู่ The Batman เวอร์ชั่น Matt Reeves x Robert Pattinson เวอร์ชั่นนี้ ที่ดาร์กยิ่งกว่า The Dark Knight ทำไว้เมื่อ 14 ปีที่แล้ว และแตกต่างจาก Batman เวอร์ชั่นอื่น ๆ ที่เราเคยดูมา
“I am vengeance.”
Matt Reeves เป็นผู้กำกับที่มีลายเส้นที่น่าสนใจ (จาก Cloverfield, Dawn of the Planet of the Apes, War for the Planet of the Apes) และดูมีชั้นเชิงในการทำบทหนังสะท้อนแนวคิดทางการเมืองการปกครอง ตั้งแต่ War for the Planet of the Apes ซึ่งใน The Batman เขาก็ใส่ลายเส้นและแนวคิดของเขาเข้ามาอย่างไม่ยั้งในหนังความยาวเกือบ 3 ชั่วโมงเต็มนี้
The Batman ของ Matt Reeves มีความแตกต่าง เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจทำให้เป็นหนังฮีโร่จ๋า และไม่ได้ตั้งใจทำให้เป็นหนังแอ็คชั่นเมนสตรีม หรือหนังตลาดเน้นขายความบันเทิง หากแต่พา Batman หรือ Bruce Wayne (Robert Pattinson จาก Twilight และ Tenet) ไปอยู่ในจักรวาล Film noir หรือโลกของหนังสืบสวนสอบสวนแบบดาร์ก ๆ และทำให้ตัวละครมีความเทา ๆ มากกว่าแค่ขาวกับดำ โดยใช้ “หน้ากาก” และ “พรีวิลเลจ” เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์และธีมหลักของเรื่องอย่างน่าสนใจ
แทนที่ The Batman จะเป็นฮีโร่ หรือเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม เขาเลือกนำเสนอว่า การทำตัวเป็นศาลเตี้ยหรือพยายามปราบโจรไม่ได้แปลว่าถูกต้องเสมอไป และอาจไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาสังคมในระยะยาว คนดีไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีเสมอไป เขาวาง The Batman เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งมีปมฝังลึก เก็บตัวอยู่แต่ในถ้ำ และมีชีวิตอยู่เพื่อการแก้แค้น ดั่งที่เขานิยามตัวเองว่า “I AM VENGEANCE.” ซึ่งจะนำไปสู่บทสรุปว่า การล้างแค้นมันช่วยอะไรได้จริงหรือไม่ แล้วถ้าไม่… ใครหรืออะไร… คือสิ่งที่โลกต้องการ?
เมื่อ แบทแมน อยู่ในหนังสืบสวนแบบฟิล์มนัวร์ วิพากษ์สังคม
ชาวโลกต่างรู้เรื่องราวปูมหลังของ Bruce Wayne กันอยู่แล้ว การเล่าเรื่องของ The Batman จึงไปตามทางสูตรของหนังสืบสวนสอบสวนคดีฆาตกรรมต่อเนื่องแทน ตั้งแต่การฆาตกรรม นายกเทศมนตรี Don Mitchell Jr. (Rupert Penry-Jones จาก MI-5), อัยการเขต Gil Colson (Peter Sarsgaard จาก Green Lantern), และนายตำรวจใหญ่ ฯลฯ ซึ่งแต่ละคนล้วนแต่เป็นผู้มีอำนาจที่ไปพัวพันกับการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยแต่ละเคส จะมีการ์ดและปริศนาทิ้งไว้ให้ The Batman โดยเฉพาะอีกด้วย
นอกจากการตามล่าหา Riddler ผู้ก่อเหตุ (Paul Dano จาก Love & Mercy) แล้ว ยังต้องสืบหาอีกว่าใครคือผูัอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ร้ายทั้งหมด ซึ่งผู้ต้องสงสัยเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้ทรงอิทธิพลแห่ง Gotham City อย่าง Carmine Falcone (John Turturro จาก Monk) และ Oswald “The Penguin” Cobblepot (Colin Farrell จาก Fantastic Beasts and Where to Find Them)
นอกจากนี้ Matt Reeves ยังใส่สิ่งที่เป็นเสมือนซิกเนเจอร์ของ Batman มาอย่างจัดเต็ม ตั้งแต่ผู้หมวด James Gordon (Jeffrey Wright จาก The Hunger Games), Catwoman หรือ Selina Kyle (Zoë Kravitz จาก Divergent ซึ่งสวยขโมยซีนมาก~), Alfred Pennyworth (Andy Serkis จาก War for the Planet of the Apes), จนไปถึงรถแบทแมนและมอเตอร์ไซค์แบทแมน ฯลฯ ที่เรียกได้ว่า ได้ใจแฟนคอมิคสุด ๆ
เดอะ แบทแมน ยกระดับมาตรฐานหนังฮีโร่ไปอีกขั้น
สิ่งที่โดดเด่นของ The Batman คืองานภาพและงานเสียง ที่มีความอาร์ตและใช้เทคนิค cinematic อย่างจริงจัง ยกระดับหนังฮีโร่ขึ้นไปอีกขั้น ถือเป็นมาตรฐานใหม่ของหนังฮีโร่ได้เลย แต่โทนหนังจะมีความดาร์กหรือค่อนข้างมืดไปหน่อย หากดูจอเล็กที่บ้านหรือจอทั่วไป อาจประสบปัญหาด้านอรรถรสนิดหน่อย เพราะนี่ขนาดดูจอใหญ่ IMAX ยังรู้สึกว่าตัวเองดูฉากซิ่งรถระหว่าง Batman กับ Penguin ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลต์สำคัญ ได้ไม่ชัดสักเท่าไหร่
ทั้งนี้ ต้องบอกก่อนด้วยว่า The Batman ไม่เน้นฉากแอ็คชั่นเท่าพาร์ทสืบสวน แต่แต่ละฉากก็ดิบเถื่อน และดูมีเลือดเนื้อเชื้อไข มีความเป็นมนุษย์ เจ็บได้ตายเป็น ซึ่งทำให้เรารู้สึกลุ้นไปกับตัวละครได้มากขึ้นกว่าพวกฮีโร่ที่มีพลังเวอร์วังเป็นทุนเดิม
โดยสรุป เราชอบ The Batman มาก ทั้งในด้าน cinemetic ที่หาดูได้ยากในหนังฮีโร่ทั่วไป ภาพและเสียง ควรค่าแก่การชมโรงใหญ่อย่าง IMAX, ตัวบท ที่มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ายุคสมัย เน้นสาระและการใช้สมองมากกว่าใช้กำลัง วิพากษ์วิจารณ์ระบบโครงสร้างทางสังคม อาจมีดีเทลที่ประดักประเดิดไปหน่อย แต่โดยรวมแล้ว เรายอมรับได้, ทีมนักแสดงถือว่าแคสต์มาปังยกเซต นางแมว Zoë Kravitz กับฆาตกรโรคจิต Paul Dano แอบแย่งซีนอยู่ และ Barry Keoghan (จาก Eternals) ก็มาน้อยแต่มาก แค่ได้ยินเสียงก็ขนลุกแล้ว
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เราจึงกล้าคอนเฟิร์มได้แล้วว่า ลบภาพจำ Batman ฉบับเก่า ๆ ไปได้เลย เปรียบกันไม่ได้ เพราะนี่คือหนัง Batman ที่ไม่เหมือนกับหนัง Batman เรื่องไหน ๆ ที่เคยดูมา ดิบมาก ดีมาก ต้องลอง
1 comment
Comments are closed.