ถึงแม้ชื่อของตัวละครจะเป็นเรื่องสมมติ แต่เราต่างรู้กันว่าหนัง The Fabelmans ของ Steven Spielberg คือเรื่องราวในวัยเยาว์เกี่ยวกับครอบครัวและความฝันของเขาเอง โดย Sammy (ตอนเด็ก รับบทโดย Mateo Zoryan และตอนวัยรุ่น รับบทโดย Gabriel LaBelle) เด็กชายที่เป็นตัวเอกในเรื่องก็คือ Steven Spielberg นั่นเอง
The Fabelmans ใช้เวลากว่าครึ่งศตวรรษหลังจากการเดบิวต์ครั้งแรกของพ่อมดแห่งฮอลลีวู้ดคนนี้ บางคนอาจบอกว่า นี่เป็นหนังที่ Spielberg ควรจะทำมาตั้งนานแล้ว แต่เราคิดว่านี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่คอหนังทั่วโลกจะได้ดูและอิ่มเอมไปกับเรื่องราวของเขา ประกอบกับ Spielberg ก็มีเหตุผลของเขา เขาต้องการให้พ่อแม่ของเขาลาโลกนี้ไปก่อนที่จะสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้น (Arnold Meyer Spielberg เพิ่งเสียชีวิตเมื่อปี 2020 ด้วยวัย 103 ปี)
Everything happens for a reason.
จากเด็กน้อยที่กลัวการเข้าโรงหนังในตอนแรก Sammy (ซึ่งก็คือ Spielberg ในชีวิตจริง) ได้พบกับแพชชั่น ความฝัน และแรงบันดาลใจของเขา จากการเข้าโรงหนังครั้งแรก เพื่อไปดู The Greatest Show on Earth (1952)
Sammy กับน้องสาวอีก 3 คน เกิดมาจากการผสมผสานอัจฉริยภาพระหว่างสายวิทย์และสายศิลป์ Burt (Paul Dano จาก The Batman) พ่อของพวกเขา ซึ่งเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ และ Mitzi (Michelle Williams ผู้เข้าชิงออสการ์ 5 สมัย) แม่ของพวกเขา ซึ่งเป็นนักเปียโน เป็นศิลปินที่เปี่ยมด้วยจินตนาการเหมือน Sammy
นอกจากนี้ ครอบครัวนี้ยังมี Bennie (Seth Rogen จาก Neighbors) เพื่อนร่วมงานและเพื่อนสนิทที่สุดของพ่อ ที่เป็นเสมือนส่วนหนึ่งของครอบครัว และไม่มีใครคาดคิด (นอกจากคุณย่า) ว่าวันหนึ่งเขาจะเป็นปัญหาของครอบครัวนี้
You can’t just love something, you also have to take care of it.
จะเห็นได้ว่า The Fabelmans เล่าเรื่องที่ละเอียดอ่อนและค่อนข้างส่วนตัวมาก ๆ ของ Spielberg ถึงแม้เขาจะเคยแทรกประเด็นครอบครัวหย่าร้างมาในผลงานเรื่องก่อน ๆ ของเขา แต่เรื่องนี้มันชัดเจนว่ามันคือเรื่องของครอบครัวเขาจริง ๆ และที่สำคัญ เขาได้เล่าจากมุมมองที่โตมากขึ้น ยอมรับและเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น
ถึงแม้ Sammy จะเสียใจและโกรธแม่มากที่แม่คบชู้และทำให้ครอบครัวแตกแยก แต่สุดท้าย ลึก ๆ แล้ว เขาก็เข้าข้างแม่มากกว่าพ่อ เพราะเขาเข้าใจศิลปินที่ไม่ได้สร้างศิลปะได้ดั่งใจ และเข้าใจว่าพ่อไม่ได้ทำให้แม่ยิ้มและหัวเราะได้ถึงแม้พ่อจะเป็นคนดีมากจริง ๆ ก็ตาม
Family, art. It will tear you in two.
สมัยนั้น แม่ต้องทำตาม gender role นั่นก็คือเป็นแม่บ้าน ทำงานบ้าน เลี้ยงลูก แม่ต้องละทิ้งความฝันและพรสวรรค์ในการเป็นนักเปียโน มีแต่พ่อที่เป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว และทุกคนต้องย้ายไปที่ต่าง ๆ ตามความก้าวหน้าทางหน้าที่การงานของพ่อจะพาไป ซึ่งพ่อ ในฐานะวิศวกร ก็มองว่าศิลปะเป็นแค่งานอดิเรกและไม่เป็นการสร้างอะไรที่เป็นรูปธรรม จึงไม่ได้ซัพพอร์ตความชอบของภรรยาและ Sammy อย่างเต็มที่ มิหนำซ้ำยังลดทอนคุณค่าถึงแม้เขาจะไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อคุณตา Boris (Judd Hirsch ผู้เข้าชิงออสการ์) ผู้เป็นพี่ชายของคุณยายแท้ ๆ และเป็นศิลปินที่เลือกปลีกตัวจากครอบครัวเพื่อไปไล่ตามความฝันในคณะละครสัตว์ตั้งแต่เด็ก ๆ ได้แวะมาเยี่ยมครอบครัว Fabelman คุณตาก็ได้ช่วยปลดล็อกอะไรบางอย่างในใจของ Sammy เกี่ยวกับทางที่ต้องเลือกระหว่างครอบครัวกับความฝัน
Art will give you crowns in heaven and laurels on Earth, but also, it will tear your heart out and leave you lonely.
เราเชื่อว่า คนส่วนใหญ่จะมองเห็นความ Spielberg ในตัวเอง บางคนอาจถูกคนในครอบครัวเหนี่ยวรั้งหรือดูถูกความชอบความฝันเพียงเพราะเขากับเราให้คุณค่ากับศาสตร์ศิลป์หรือสิ่งต่าง ๆ ไม่เท่ากัน บางคนอาจต้องยอมโดดเดี่ยวหรือกลายเป็นคนแปลกหน้าของครอบครัวเพียงเพราะเลือกออกไปเดินตามความฝัน บางครอบครัวจะยอมรับหรือเข้าใจก็ต่อเมื่อเราประสบความสำเร็จหรือหาเงินได้มากพอจากสิ่งที่เรารัก… แต่การที่จะมีวันนั้นมันไม่ง่ายเลยในเมื่อครอบครัวไม่ได้ on the same page กับเรามาตั้งแต่แรก
แต่สุดท้าย ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ไม่ว่าเราจะไปได้ไกลหรือไปได้ไม่ถึงไหนอย่างไร ครอบครัว… ทั้งส่วนที่สวยงามและส่วนที่เจ็บปวด… ล้วนหล่อหลอมให้เราเป็นเราอย่างทุกวันนี้ บาดแผลบางอย่าง… มันรักษาไม่ได้ ของที่แตกไปแล้ว บางอย่างมันซ่อมหรือแก้ไขไม่ได้ เราทำได้แต่โอบกอด ยอมรับและรับมือไปกับมัน
Sometimes we just can’t fix things, and all we can do is suffer.
เราไม่สามารถควบคุมสิ่งที่หมุนรอบตัวเราได้ทุกอย่าง และบ่อยครั้งที่เราจะรู้สึกว่าโลกนี้มันช่างใจร้ายเสียเหลือเกิน มันเลยเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ Spielberg อยากทำหนัง เขียนบทหนัง หรือสร้างโลกใบใหม่ของเขาขึ้นมา เพราะเขารู้สึกว่า เขาควบคุมหรือกำกับโลกใบนี้ได้ เช่นเดียวกับเราที่อยากหลบไปอยู่ในโลกของภาพยนตร์ สัก 2-3 ชั่วโมงก็ยังดี หรือนั่งเขียนบล็อกเงียบ ๆ คนเดียวหน้าคอมฯ เพื่อหนีจากโลกความเป็นจริง ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่า มันคือ Escape to Nowhere
สำหรับคนที่รู้สึกว่า ชีวิตมันช่างยุ่งเหยิง หรือยังสับสนในการก่อร่างสร้างตน เราเชื่อว่าการอยู่กับตัวเอง ทำสิ่งที่ตัวเองรัก รวมถึงการเล่าถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเอง ไม่ว่าจะรูปแบบภาพยนตร์ คลิปวิดีโอ นิยาย ไดอารี่ หรือบล็อก ฯลฯ มันเป็นอะไรที่ therapeutic ช่วยให้เข้าใจตัวเองและสิ่งรอบข้างมากขึ้น
Movies are dreams that you never forget.
ในหนัง ตอนที่ครอบครัว Fabelman และลุง Bennie ไปทริปแคมป์ปิ้งกัน Sammy ได้เห็น ได้เข้าใจคนและเรื่องราวมากขึ้น จากการอัดและตัดต่อวิดีโอที่ถ่ายจากทริปนั้น บางอย่างมันอาจไม่ใช่สิ่งที่เขาเห็น ณ ขณะที่ถือกล้องถ่ายหรือแม้กระทั่งในครั้งแรกที่ได้ดูคลิปที่ถ่ายไว้เพียงผิวเผิน ต้องอาศัยการดูซ้ำหลาย ๆ รอบอย่างตั้งใจ เพื่อเห็น เข้าใจ ตีความ และเรียนรู้สิ่งที่อยู่ในนั้น จากมุมมองที่มากกว่ามิติเดียว เช่นเดียวกับเรา เราเองก็แอบได้กลิ่นแปลก ๆ และแอบคิดไม่ดีระหว่างแม่กับลุง Bennie มาตั้งแต่ Sammy ยังเป็นเด็กน้อย ระหว่างทางก็ยังเห็นมันอยู่เนือง ๆ แต่เนื่องด้วยเราได้เดินทางและสำรวจจิตใจไปกับตัวละคร เราจึงเข้าใจแม่และไม่ตัดสินแม่มากเกินไป
Sammy เลือกตัดวิดีโอไว้สองชุด ชุดแรกคือคลิปที่แม่เป็นผู้หญิงที่มีความสุข สดใส และเป็นที่รักอย่างที่แม่และคนอื่น ๆ อยากเห็น อีกชุดคือคลิปที่เป็นตัวตนหรือความรู้สึกข้างในของแม่จริง ๆ ที่ (ยัง) ไม่มีใครเห็น เขาได้เรียนรู้ว่า การทำหนังคือตัวช่วยให้เขารับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ยากจะควบคุมในชีวิตจริง และการตัดต่อหนังก็คือการคัดกรองอย่างหนึ่งว่าเราอยากจะเล่าอะไร ไม่เล่าอะไร หรืออยากให้คนดูเห็นอะไร ไม่เห็นอะไร แต่ถึงแม้เราจะทำเช่นนั้นได้ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะเปลี่ยนแปลงความจริงนั้นได้อยู่ดี
ที่โรงเรียนก็เช่นกัน ถึงแม้เขาจะถูกบูลลี่โดย Chad (Oakes Fegley จาก Pete’s Dragon) และ Logan (Sam Rechner) มาตลอดปีการศึกษาเพราะเขาเป็นเด็กยิว แต่เขาก็ทำวิดีโอที่เปิดในคืนงานพร็อมออกมาให้ Logan ดูดี ซึ่งมันก็มีหลายเหตุผล อย่างแรกเลย ถึงแม้ Logan จะทำตัวแย่กับ Sammy แต่สุดท้าย ณ ตอนนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาเป็นดาวเป็นเดือน เป็น King of High School ที่คนทั้งโรงเรียนชื่นชอบหรือบูชาอยู่แล้วจริง ๆ ซึ่ง Sammy ก็รู้ว่า เพื่อน ๆ ทั้งโรงเรียนก็น่าจะอยากเห็นอะไรแบบนั้น เขารู้ว่าคนดูชอบอะไร และก็เสิร์ฟสิ่งนั้นให้คนดู ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองก็ยังเจ็บปวดและไม่เข้าใจว่าเขาทำมันไปได้อย่างไร
You do what your heart says you have to. ‘Cause you don’t owe anyone your life.
ในช่วงท้ายของหนัง หลังจาก Sammy สามารถก้าวข้ามผ่านพ้นจากพันธนาการที่เรียกว่าครอบครัว และได้โอกาสไปที่ค่ายหนังแห่งหนึ่ง เขาได้พบกับผู้กำกับหนังระดับตำนานในสมัยนั้นอย่าง John Ford (รับบทโดยผู้กำกับใหญ่อีกท่าน David Lynch) ผู้ซึ่งให้บทเรียนสำคัญที่จุดประกายการทำหนังอีกขั้นให้กับเขา
“จุดจบของหนัง มันคือจุดเริ่มต้นจริง ๆ ของ Steven Spielberg“
The Fabelmans จึงเป็นจดหมายรักจาก Steven Spielberg แด่ภาพยนตร์ เน้นเล่าเรื่องช่วงก่อร่างสร้างตัว ก่อนที่เด็กคนหนึ่งที่ถูกกดทับโดยครอบครัวและสังคมไฮสคูล จะค้นพบตัวตน และเบ่งบานเป็นพ่อมดแห่งฮอลลีวู้ดที่โลกรู้จักอย่างทุกวันนี้