The Ballad of Songbirds and Snakes ไม่เชิงเป็นปฐมบทของ The Hunger Games ซะทีเดียว เพราะเรื่องราวดำเนินในการแข่งขัน The Hunger Games ครั้งที่ 10 (64 ปีก่อนที่ Katniss Everdeen จะได้เป็น tribute จากเขต 12) แต่เป็นเสมือนปฐมบทของ President Snow เสียมากกว่า
The Hunger Games ครั้งที่ 10 เป็นปีแรกที่ให้ tribute หรือเครื่องบรรณาการทั้ง 24 คน จาก 12 เขต ได้มี mentor หรือพี่เลี้ยง โดยในปีนี้ mentor คือกลุ่มนักเรียนดีเด่นจาก Academy โรงเรียนชั้นนำของ Capitol ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Coriolanus Snow (Tom Blyth จากซีรีส์ Billy the Kid) เด็กหนุ่มผู้เกิดในตระกูลทหารชั้นสูง แต่หลังจากสูญเสียพ่อจากสงคราม ฐานะก็ไม่สู้ดี แต่เขาก็ยังพยายามทำตัวให้เพื่อน ๆ เข้าใจว่า ตัวเองยังร่ำรวยอยู่เหมือนก่อน
Snow กระหายชัยชนะใน The Hunger Games ครั้งนี้อย่างมาก เพราะเขาต้องการเงินรางวัลเพื่อใช้เป็นทุนการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยและใช้เลี้ยงดูย่ากับ Tigris (Hunter Schafer จากซีรีส์ Euphoria) ลูกพี่ลูกน้องของเขาได้ แต่การที่เขาจะชนะในเกมนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ Dean Casca Highbottom (Peter Dinklage จาก Game of Thrones) อาจารย์ใหญ่และผู้ให้กำเนิดเกมนี้ จับคู่ให้เขาเป็น mentor ของ Lucy Gray Baird (Rachel Zegler ผู้เข้าชิงออสการ์จาก West Side Story) เด็กสาวจากเขต 12 ที่ขึ้นชื่อเรื่องความกันดาร อย่างไรก็ตาม ความฉลาดและความทะเยอทะยานของเขาก็ยังเป็นที่ถูกใจของ Dr. Volumnia Gaul (Viola Davis นักแสดงออสการ์จาก Fences) หัวหน้าผู้คุมเกมหรือ head gamemaker ที่คลั่งไคล้ mutt หรือสัตว์กลายพันธุ์เป็นพิเศษ
ด้วยความที่ The Ballad of Songbirds and Snakes เน้นที่เรื่องราวและจิตใจของ Snow เป็นหลัก หนังจึงไม่ค่อยเน้นที่เกมหรือสนามประลอง รวมถึง tribute คนอื่น ๆ เท่ากับหนัง The Hunger Games ภาคก่อน ๆ ดังนั้นคนดูจะแทบไม่ได้ root for หรือมีอารมณ์ร่วม หรือจดจำตัวละครอื่น ๆ เท่าไหร่เลย (นึกภาพว่า tribute 24 คน + mentor 24 คน = 48 คน จะเอาอะไรไปมีซีนได้หมด)
อย่างไรก็ตาม หนึ่งใน mentor ที่เป็นตัวละครสำคัญที่ต้องจดจำคือ Sejanus Plinth (Josh Andrés Rivera จาก West Side Story) เขาเป็นเด็กที่เดิมเกิดและโตในเขต 2 แต่สงครามทำให้ครอบครัวของเขาร่ำรวยพอที่จะย้ายมาอยู่ที่ Captiol และเข้าเรียนที่ Academy ได้ แล้วเขาต้องมาเป็น mentor ให้กับอดีตเพื่อนร่วมชั้นจากเขตตัวเอง เขาจึงเป็นตัวละครที่เป็นคนดีและน่าสงสารมากที่สุดคนหนึ่ง เพียงแต่ในหนังไม่ได้ให้แอร์ไทม์กับเขาเท่ากับในหนังสือ คนดูบางคนจึงอาจจะไม่เข้าใจตื้นลึกหนาบางของเขาอย่างที่ควรจะเป็นนัก
โดยรวบ หนังตอบโจทย์พื้นฐานแก่คนดูทั่วไปได้ครบ เช่น ใครเป็นคนแรกที่คิดค้น The Hunger Games, The Hunger Games มีอยู่เพื่ออะไร, และอะไรทำให้ Snow เด็กหนุ่มธรรมดา ๆ คนหนึ่งกลายมาเป็นประธานาธิบดีตัวร้ายที่เรารู้จักกันดีในจักรวาล The Hunger Games กันแน่
แต่เรา…. ในฐานะของคนที่อ่านหนังสือมาทุกภาค รวมถึงภาคนี้ คิดว่า ถึงแม้ว่าหนัง The Ballad of Songbirds and Snakes ค่อนข้างเคารพและตรงกับต้นฉบับหนังสือมากที่สุด และหนังก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเก็บรายละเอียดจากหนังสือลงไปในหนัง จนหนังมีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 37 นาที (เป็นหนัง The Hunger Games ภาคที่ยาวที่สุด) แต่เราก็ยังไม่อินกับหนังเท่ากับตอนอ่านหนังสือเอง เพราะหนังก็เล่าแต่ละอย่างได้แค่แบบหยอด ๆ เท่านั้น ทำให้คนดูที่ไม่เคยอ่านหนังสือก็ต้องคิดเองหรือตีความเองในบางฉากหรือบางการกระทำ แต่นั่นก็ยังไม่น่าเสียดายเท่าช่วงองก์สุดท้ายที่หนังจบแบบรวบรัดตัดตอนไปเสียหน่อย
โดยส่วนตัว เราจึงคิดว่า หนัง The Ballad of Songbirds and Snakes น่าจะตัดองก์ 3 (องก์ Peacekeeper) ออกไปเป็นหนังอีกภาคไปเลย (ถ้าเทียบกับ Mockingjay เราคิดว่า เรื่องนี้มีเนื้อหาที่แน่นกว่าและมากพอที่จะแบ่งออกเป็นสองพาร์ทได้จริง) หรือไม่ก็ทำให้หนังภาคเดียวภาคนี้มันยาวไป 3 ชั่วโมงไปเลย เพื่อให้เล่าองก์สามและรายละเอียดต่าง ๆ ได้ลึกซึ้งถึงหัวจิตหัวใจ Snow มากกว่านี้ ซึ่งถ้าทำได้สนุกเสมอต้นเสมอปลาย เราเชื่อว่า คนดูหนังสมัยนี้เขาค่อนข้างชินกับหนัง 3 ชั่วโมงแล้ว เขาดูไหว
สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน หรือกระทั่งไม่เคยดูหนัง The Hunger Games มาก่อนสักภาค เราเชื่อว่า ยังไงก็ยังดูหนังภาคนี้รู้เรื่อง และดีไม่ดี อาจจะดูหนังได้สนุกกว่าคนที่เคยอ่านหนังสือเสียด้วยซ้ำ เพราะหนังมันบาลานซ์สารได้ดีทั้งในส่วนของการเมืองและความรัก และแสดงมิติความเป็นมนุษย์ของตัวละครเทา ๆ นี้ได้อย่างดี สองนักแสดงนำก็เคมีเข้ากันและแสดงได้ถึงบทบาท เป็น Coriolanus Snow และ Lucy Gray Baird ที่ดีกว่าที่เราจินตนาการไว้มาก โดยเฉพาะเสียงสวรรค์และสกิลการร้องเพลงของ Rachel Zegler ที่ทำให้บทเพลงในหนังสือมีชีวิต ไพเราะอย่างน่าขนลุก