“Someone came into my life, and made me see the matrix. we may not get in touch any longer, but every time I think about the matrix I’ll also think about him.”
ทั่วโลกรู้ว่า The Matrix เป็นหนังไตรภาคที่ขึ้นหิ้งเรื่องหนึ่งแห่งยุค เป็นทั้ง pop culture และแรงบันดาลใจให้หนังยุคหลัง ๆ หลาย ๆ เรื่อง ตั้งแต่ปี 1999-2003 แต่เราเพิ่งได้เริ่มดูปลายปี 2021 ตอนที่ The Matrix 4 เข้าโรง
สารภาพก่อนว่า ตอนแรกว่าจะไม่ดูหนังแฟรนไชส์นี้แล้ว เพราะฝังใจจากข้อสอบวิชาปรัชญาตอนปี 1 ที่ถามถึงหนังเรื่องนี้ แล้วเราไม่เคยดู จึงต้องส่งกระดาษเปล่าสำหรับข้อนั้นไป (คนสอนได้พูดถึงและเปิดหนังบางส่วนให้ดูในคาบ แต่เราหลับ) พอเรียนจบ จนเป็นบล็อกเกอร์หนังมา 7-8 ปี ก็ยังไม่เคยหาดู จนกระทั่งผู้ชายเนิร์ดคนหนึ่งพูดว่า “They’re classic.” โอเค… ดูค่ะ
The Matrix 4 ใช้ชื่อภาคว่า Resurrections หรือการฟื้นคืนชีพ เพราะจริง ๆ แล้ว หนังไตรภาคเขาจบสมบูรณ์ในตัวหนังตั้งแต่เกือบ 20 ปีก่อนอยู่แล้ว พระเอกกับนางเอกก็ตายในตอนจบไปแล้ว และเอาจริง ๆ Keanu Reeves ก็เหมือนจะดับสูญไปแล้ว แต่ดันได้เกิดใหม่ใน John Wick ซึ่งแรงมาก ๆ จนค่าย WB ต้องให้ Wachowskis กลับมาชุบชีวิต Neo กันบ้าง
ใน The Matrix 4 นี้ Neo หรือ Thomas Anderson (Keanu Reeves) กลับมาอยู่ใน The Matrix หรือโลกที่มักเกิ้ลอย่างเรา ๆ คุ้นเคย เขาเป็นนักออกแบบชื่อดัง “The Matrix” และใช้ชีวิตวนลูป รวมถึงการไปร้านกาแฟทุกวัน เพื่อแอบมอง Tiffany (Carrie-Anne Moss) คุณแม่ลูกสาม ที่คล้ายกับ Trinity ผู้หญิงในจินตนการหรือเกมของเขา
Thomas ยังสับสนกับโลกสองใบ ความฝันกับความทรงจำ ความจริงกับจินตนาการ ฯลฯ เขาเคยเกือบโดดจากตึกสูงเพราะคิดว่าตัวเองบินได้ เขาจึงต้องพบกับจิตแพทย์ (Neil Patrick Harris จาก How I Met Your Mother) และกินยาเม็ดสีฟ้าของหมออยู่เสมอ ๆ โดยเฉพาะเมื่อเจ้านายของเขา (Jonathan Groff จาก Mindhunter) ต้องการให้ทำเกมภาคต่อ อาการของเขาก็ยิ่งกำเริบ
ในโลกจริง ยังมีผู้ที่เชื่อว่า Neo ยังอยู่ และพยายามตามหาเขา นำโดย Bugs (Jessica Henwick จาก Iron Fist) และ Morpheus ซึ่งปัจจุบันเป็นเพียงโปรแกรม (เดิมเป็นบทของ Laurence Fishburne แต่ภาคนี้เป็น Yahya Abdul-Mateen II จาก Aquaman ซึ่งเด็กกว่า)
เอาจริง เราคิดว่า The Matrix 4 เป็นภาคที่ไม่ต้องสร้างก็ได้ มันเหมือน Star Wars 7 ที่แทบจะเหมือนรีบูธและล้อภาคแรกของตัวมันเอง ซึ่งแน่นอนว่า การดูภาคก่อน ๆ มาก่อนจะช่วยให้ดูรู้เรื่องมากขึ้น แต่ต่อให้ไม่ได้ดู ก็ดูพอรอดอยู่ เพราะหนังมีโชว์แฟลชแบ็กจากภาคก่อนเยอะมาก แบบเกินความจำเป็น จนหนังยาวสองชั่วโมงครึ่ง (เหมือนกลัวคนเคยดูจะลืม และกลัวคนไม่เคยดูจะดูไม่รู้เรื่อง)
โดยส่วนตัว เราตั้งใจดูจริงจังแค่ภาคแรก (ซึ่งชอบมาก) ส่วนภาคสองกับสาม เราแทบไม่ได้ตั้งใจดูอะไรเลย เราก็ดู The Matrix 4 รู้เรื่อง (แต่อาจไม่ทั้งหมด 100% เพราะหนังมันค่อนข้าง complex มาแต่ไหนแต่ไร) เอาจริง เราดู The Matrix 4 รู้เรื่องกว่าภาคสองกับสาม เพราะการได้ชมในโรง… บนจอใหญ่ ๆ จริง ๆ… ถ้าชมเองที่บ้าน คงโฟกัสไม่ได้แบบการดูในโรง
เราได้ดู The Matrix 4 ค่อนข้างล่าช้ากว่าคนอื่น จึงได้เห็นกระแสรีวิวจากแฟน ๆ ของไตรภาคมาบ้าง เราจึงเข้าไปด้วยความไม่คาดหวัง และเตรียมใจไว้อยู่แล้วว่า มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำออกมาตราตรึงเท่าภาคแรก และเน้นไปเสพเอามันส์ แทนเอาเนื้อหา ปรัชญา ศาสนา การเมือง เจตจำนงเสรี ฯลฯ เราจึงได้รับความบันเทิงจากหนังมากกว่าที่เราคาดไว้
The Matrix 4 มี “bullet time” เยอะไปหน่อย แต่เป็นแนวพลังจิตฟุ่มเฟือย ฉากแอ็คชั่นไล่ล่าที่ถนน เล่นใหญ่จัดเต็มเหมือนกลัวจะแพ้ Fast & Furious จึงไม่ได้ดูคลาสสิกหรือน่าจดจำเท่าภาคก่อน ๆ รวมถึงฉากต่อสู้บนไฮเวย์ในภาคสอง ส่วนที่น่าจดจำและทำให้หนังน่าสนใจ เรายกให้ตัวละครใหม่อย่าง Jessica Henwick แต่โดยรวม ยังดูเอาบันเทิงได้อยู่ ถ้าไม่ติดว่ามีภาคก่อน ๆ ให้เปรียบเทียบ นี่ถือว่าดูสนุกอยู่
สุดท้าย เราแค่อยากจะบอกว่า หลังจากมีปมจากวิชาปรัชญาสมัยเรียน เรารู้สึกดีใจที่ตัวเองสามารถปลดล็อกและเริ่มดูแฟรนไชส์ The Matrix อันแสนคลาสสิกนี้เสียที ก็ต้องขอบคุณ “คนคนนึง ผ่านมาในชีวิต แค่เพื่อทำให้เราได้ดู The Matrix” ถึงแม้เขาจะผ่านมา แล้วก็ผ่านไป… แต่ทุกครั้งที่มีประเด็น The Matrix ขึ้น เราจะนึกถึงเขา