The Menu หนังจิกกัดทุนนิยมและความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นอย่างแยบยล เป็นผลงานของ Mark Mylod ผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จจากซีรีส์ Succession ที่จิกกัดโลกธุรกิจและครอบครัวของมหาเศรษฐีเช่นกัน
เรื่องราว The Menu เกิดขึ้นที่ร้านอาหารหรู (Fine Dining) บนเกาะห่างไกล ของเชฟ Julian Slowik (Ralph Fiennes จาก Harry Potter) ผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ ก่อนจะมีชื่อเสียง เขาก็เคยเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่หลงใหลในการทำอาหาร จนกระทั่งนายทุนเสนอลงทุนเปิดร้านอาหารหรูสุด exclusive แห่งนี้ให้เขากุมบังเหียน มีคนมากมายอยากมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานในครัวของเขา และมีลูกค้าไฮโซมากมายยอมจ่ายค่ามื้ออาหารราคาแพงหูฉี่ของเขา เพื่อประสบการณ์ รสนิยม และพรีวิลเลจที่คนทั่วไปมิอาจเข้าถึงได้ แต่สุดท้าย แขกกลุ่มสุดท้ายของร้านก็ต้องมาเจอกับประสบการณ์สุดสยองแทน
จำนวนแขกมีทั้งหมด 12 คน เท่ากับจำนวนคนในรูปภาพ The Last Supper ของ Leonardo da Vinci (ไม่นนับพระเยซู) แขกทุกคนของที่นี่คือเหล่าคนรวยและคนดังต่าง รวมถึงนักวิจารณ์สาย foodie ระดับต้น ๆ ของวงการ แต่ Margot (Anya Taylor-Joy จาก The Witch) เป็นหนึ่งเดียวของกลุ่มแขกเหรื่อมื้อนี้ ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายและไม่อินกับเมนูต่าง ๆ ของร้านหรูแห่งนี้ เธอเป็นหญิงขายบริการและเป็นคู่เดทเฉพาะกิจของเนิร์ด Tyler (Nicholas Hoult จาก Mad Max) ที่คลั่งไคล้บูชาในตัวเชฟ และอยากเข้าถึงอาหารของเชฟให้เป็นบุญสักครั้งก่อนตาย โดยผู้จัดการ Elsa (Hong Chau จาก Watchmen) เป็นคนแรกที่รู้สึกไม่โอเคกับการมาเยือนของ Margot
มันเป็นเรื่องน่าขันอย่างตลกร้าย เมื่ออาหารคือปัจจัยสี่ หรือสิ่งประทังชีพของคนจน คนจนกินเพื่ออยู่ หรือบ้างก็เพื่อความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ จากความเหน็ดเหนื่อยในแต่ละวัน แต่พวกเขาก็มักประสบกับปัญหาหรือความยากลำบากว่า “วันนี้จะกินอะไร” เพราะบางครั้งพวกเขาก็ไม่มีอันจะกินจริง ๆ ในขณะที่อาหารเท่ากับ “การอยู่รอด” ของคนจน อาหารกลับเป็นแค่ “เครื่องบ่งบอกรสนิยม” และเป็น “ประสบการณ์” ของคนรวย ธุรกิจอาหารเหล่านี้เองก็เป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่ทำให้ช่องว่างระหว่างชนชั้นตรงนี้มันกว้างขึ้นทุกที ๆ
Margot ผู้มาจากรากหญ้า จึงเป็นคนเดียวที่พูดกับเชฟอย่างตรงไปตรงมาว่า อาหารของเชฟมีแต่คอนเซ็ปต์ที่จับต้องไม่ได้ และความสวยงามที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม เพราะอาหารของเชฟปราศจากชีวิตจิตใจและความรัก ตัวเชฟเองก็รับรู้ถึงข้อนั้น มันเห็นได้ชัดจากสตอรี่ที่อยู่เบื้องหลังเมนูอาหารแต่ละจานของเขา แล้วเขาก็มีความสุขมากกว่าตอนที่ทำอาหารเรียบง่ายอย่างชีสเบอร์เกอร์ในร้านเบอร์เกอร์สมัยหนุ่ม ๆ — อาหารที่ลูกค้าสั่งตามความต้องการของแต่ละคน… ไม่ใช่อาหารที่เชฟจัดตามความพึงพอใจของเชฟคนเดียว
อย่างไรก็ตาม หนัง The Menu ก็มีความคล้ายเมนูของเชฟ Slowik ในบางประการ เช่น ไม่ได้อร่อยหรืออิ่มสำหรับผู้ชิมทุกคน และก็ไม่ใช่หนังที่เข้าถึงหรือย่อยง่ายนัก แต่ก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น เพราะหนังค่อนข้างเล่าสตอรี่ที่เป็นที่มาที่ไปของแต่ละเมนูอย่างโจ่งแจ้งชัดเจนอยู่ เชื่อว่าหลายคนดูจบ ก็คงอยากกินอาหาร…ถ้าไม่ใช่ลอง Fine Dining สักครั้ง ก็คงอยากตรงดิ่งไปสั่งชีสเบอร์เกอร์ฉ่ำ ๆ สักชิ้น… ซึ่งสำหรับเรา… เราเป็นอย่างหลัง