เชื่อว่า แค่เทรลเลอร์หรือพล็อตเรื่อง Vivarium เพียงสองบรรทัด ก็คงกระตุ้นต่อมอยากดูของคอหนังกันแทบทุกคน เพราะนี่เป็นหนังลึกลับ ขายคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจ และมีนักแสดงนำระดับมืออาชีพ
เรื่องย่อ Vivarium
ช่างทำสวน Tom (Jesse Eisenberg จาก The Social Network) กับครู Gemma แฟนสาว (Imogen Poots จาก 28 Weeks Later) กำลังหาบ้านแถบชานเมืองอยู่ร่วมกัน แต่ถูกเซลล์ Martin (Jonathan Aris จาก Sherlock) ล่อลวงไปขังไว้ในหมู่บ้าน Yonder ซึ่งบ้านแต่ละหลังและซอยแต่ละซอยล้วนเหมือนกันเป็นพิมพ์เดียวกันไปหมด
Tom กับ Gemma หาทางออกจากหมู่บ้านกันอยู่นานจนน้ำมันรถหมดและต้องพักที่บ้านตัวอย่างหมายเลข 9 นั้น โดยมีกล่องปริศนามาส่งให้เป็นประจำ ภายในมีอาหาร (ที่ไร้รสชาติ) และของจำเป็นในการดำรงชีวิต รวมถึง วันหนึ่งพวกเขาก็ได้รับเด็กทารกเพศชายมาให้เลี้ยงด้วย 1 คน แล้วเด็กนรกคนนี้ก็โตไวมาก เพียง 3 เดือน ก็เหมือนเด็ก 10 ขวบ (แสดงโดย Senan Jennings) และไม่นาน ก็โตเต็มวัยเป็นหนุ่มใหญ่ (แสดงโดย Eanna Hardwicke)

รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ VIVARIUM
ด้วย Vivarium ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่หนังไซไฟ ดังนั้น เราอาจจะทึกทักได้ว่า Tom กับ Gemma ถูกลักพาตัวมาโดยมนุษย์ต่างดาว ซึ่งถ้าหากพิจารณาจากรูปลักษณ์ของเซลล์ Martin ซึ่งคล้ายเอเลี่ยนในจินตนาการทั่วไปของคนเราประกอบด้วยแล้ว ก็น่าจะเดาไปในทิศทางนั้นได้อยู่ แต่อีกนัยนึง ก็อาจตีความได้เช่นกันว่า มันคือความฝันของหนุ่มสาวอเมริกัน ที่ฝันอยากมีบ้าน มีรถ และมีครอบครัวที่อบอุ่น (คล้าย ๆ กับเรื่อง American Beauty) นั่นต่างหาก ที่เป็นกับดัก… ที่จองจำพวกเขาไว้ในชีวิตที่วนลูปแบบนี้
ในตอนเปิดเรื่อง หนังฉายให้เราเห็นภาพครอบครัวนกบนรังตามธรรมชาติ และฉากเปิดตัวนักแสดงนำที่มีการโยงกับนกสองตัวที่ตกลงมาตายอยู่ใต้ต้นไม้ ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นการบอกใบ้ไอเดียของหนังให้กับคนดูไปแล้วครึ่งหนึ่ง กล่าวคือ นกบางชนิดจะไปไข่ไว้ในรังของนกอีกชนิดหนึ่ง แล้วให้นกนั้นเลี้ยงลูกของมันให้ ซึ่งถือว่าจัดเป็นปรสิตอย่างหนึ่งก็ว่าได้ กับอีกนัยหนึ่งก็คือ มนุษย์เราอาจเป็นเสมือนนกกาเหว่าที่มาแย่งบ้านหรือรังนกของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นที่อยู่มาก่อนในธรรมชาติ หรือนกกาเหว่าอาจจะหมายถึงเอเลี่ยนที่จะมาแย่งโลกของมนุษย์เราต่อไป โดยมาให้โฮสต์อย่างเราเลี้ยงตัวอ่อนเอเลี่ยนให้ ก่อนที่จะค่อย ๆ กลืนกินจนกระทั่งโฮสต์นั้นล้มหายตายจากไป
หากคำนวณคร่าว ๆ จากการเติบโตของเด็กเอเลี่ยน เด็กกลายพันธุ์ หรือเด็กปรสิต ประกอบกับการเชื่อมโยงกับบ้านเลขที่ของบ้านที่พวกเขาต้องอาศัยอยู่ เราคาดเดาว่า Tom กับ Gemma ติดอยู่ในหมู่บ้านราว ๆ 9 เดือน (ที่ยาวนานเหมือน forever!) ซึ่งตีความว่าเป็นจำนวนเดือนของการตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรได้อีกด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ธีมของหนังที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ เรื่องชีวิตคู่และการเป็นพ่อคนแม่คน เช่น ลูกจะเลียนแบบคำพูดของพ่อแม่ การเลี้ยงลูกไม่ใช่แค่การให้อาหาร ฯลฯ นอกจากนี้ ยังเห็นด้วยว่า บางทีลูกก็เป็นเอเลี่ยนหรือสัตว์ประหลาดสำหรับพ่อแม่ โดยเฉพาะเวลาที่เขางอแง ทำอะไรที่พ่อแม่ไม่เข้าใจ หรือเริ่มทำอะไรที่พ่อแม่คอนโทรลไม่ได้ โดย Tom กับ Gemma ต่างก็รับมือกับสถานการณ์ isolation และรับมือกับเด็กพิเศษคนนี้แตกต่างกันตามทางถนัดของตัวเอง
กล่าวคือ Tom ซึ่งเป็นช่างทำสวน ก็ถนัดงานขุด เขาก็ขุดทั้งวันทั้งคืนอย่างไม่มีจุดหมายที่แน่ชัดว่าเขากำลังหาอะไรอยู่หรือขุดไปเพื่ออะไร เขาแค่ขุดเพื่อหาทางออกที่เขาไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนหรือหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เขาก็จะขุดเพราะมันคือสิ่งเดียวที่เขาทำได้ ซึ่งตรงนี้ก็บอกอะไรหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับตัวผู้ชายคนนี้ได้เหมือนกัน
ส่วน Gemma ซึ่งเป็นครู ก็มีความรักและเข้าใจเด็กอยู่แล้วเป็นพื้นฐาน เธอก็พยายามเข้าหาและทำหน้าที่ดูแลเด็กคนนี้ประหนึ่งว่าเธอเป็นแม่จริง ๆ (ถึงแม้เธอจะย้ำตลอดจนนาทีสุดท้ายว่า I’m not your fucking mother.) โดยมีความหวังว่า วันหนึ่งเด็กคนนี้จะเป็นแสงสว่างหรือนำพาเธอไปสู่ทางออกได้ คล้ายกับพ่อแม่หลายคนที่เลี้ยงลูกเพื่อหวังพึ่งพาลูกในวันหน้า

หมู่บ้านนี้ก็เปรียบเสมือนวิวาเรี่ยม ซึ่งเป็นสถานที่ปิดที่ถูกจัดเตรียมให้มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมกับธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ เพื่อการศึกษาวิจัยหรือเพื่อบ้างก็เพื่อเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงทั่วไป เพียงแต่หนังแทบไม่ได้เฉลยชัดเจนหรือบอกอะไรเราเลยว่า ใครเป็นผู้สร้าง ศึกษา ดูแล หรือกระทั่งทำลายเราในวิวาเรี่ยมแห่งนี้ ซึ่งไม่เหมือนกับเรื่อง The Truman Show ที่เสพง่ายกว่าและเฉลยปมค่อนข้างกระจ่างแจ้ง
ดังนั้น เราต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า Vivarium ไม่ได้เป็นหนังที่ดูสนุก ไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน หากแต่ต้องคิดเยอะและ “อิหยังวะ” พอดู สิ่งที่ทำให้เราอยากติดตามดูต่อจนจบก็คือ “ความอยากรู้” และการแสดงของ Imogen Poots ที่ถือว่ายอดเยี่ยม ส่วน Jesse Eisenberg เรารู้สึกว่าเขายังไม่เหมาะกับบทหรือคาแรกเตอร์ของ Tom สักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่น่าเสียดายเท่าตัวละครเด็กกลายพันธุ์ที่เราคิดว่าน่าจะแคสต์นักแสดงที่สามารถทำให้ตัวละครนี้น่าสนใจได้มากกว่านี้
คำถามที่น่าสนใจอีกอย่างของ Vivarium คือ สภาพแวดล้อมที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์และมีปัจจัยสี่พร้อม (ยกเว้นยา ที่เราไม่ชัวร์ว่ามีให้ไหม หรือถ้ามี ก็คงมีแต่ยาสามัญประจำบ้านเบื้องต้น) แต่มีชีวิตวนเวียนซ้ำซากจำเจ กิน ๆ นอน ๆ ไร้ซึ่งความบันเทิงหรือสังคมอื่น ๆ เช่น อินเตอร์เน็ตให้เราท่องโลก ช็อปปิ้งมอลล์ให้เราเลือกสรรสินค้าเอง หรือเพื่อนบ้านให้เราเสวนาสังสรรค์ ฯลฯ แถมยังเป็นวัฏจักรที่เรามิอาจหลบหนีหรือหลุดพ้นมันไปเองได้ ชีวิตแบบนี้มันจะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความสุขได้จริงหรือ?
อันนี้ก็ต้องไปอยู่ ไปพิสูจน์ หรือไปดูกันเอาเอง…
Vivarium คะแนนตามความชอบส่วนตัว 7/10