ต่อยอดความสำเร็จจาก Wonder กับ White Bird หนังภาคต่อที่เล่าเรื่องของ Julian (Bryce Gheisar คนเดิมจากภาคเดิม) หัวโจกที่บูลลี่น้องอ๊อกกี้หลังจากถูกไล่ออกและต้องย้ายโรงเรียน ซึ่งเขาก็ประสบปัญหาในการหาเพื่อนและเข้ากับสังคมใหม่ที่นี่เช่นกัน เขาบอกกับย่าของเขา (นักแสดงออสการ์ Helen Mirren) ว่า เขาพยายามทำตัว “ปกติ” ก็คือไม่ทำตัวดี ไม่ทำตัวแย่ สนใจแต่เรื่องตัวเอง (ซึ่งมันต่างอะไรกับ ignorant) ย่าก็เลยเล่าเรื่องวัยเด็กของย่า (Ariella Glaser) ที่ต้องหลบหนีการกวาดล้างยิวของทหารนาซี แล้วได้รับการช่วยเหลือจากครอบครัว Julien (Orlando Schwerdt) เพื่อนร่วมชั้นที่เป็นโปลิโอ
White Bird ยังเล่าประเด็นหลักคล้ายกับ Wonder แต่เล่าในสเกลสากลมากขึ้นและเชื่อมโยงกับเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์สงครามโลก ซึ่งสำหรับคนที่ดูหนังเกี่ยวกับนาซีมาพอสมควรอย่างเรา เรามองว่า White Bird เป็นแค่หนัง Holocaust 101 เหมาะกับผู้เริ่มต้นดูหนังเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวของนาซี โดยเฉพาะเด็ก ๆ เพราะหนังมีสเกลความรุนแรงและความกระทบกระเทือนจิตใจต่ำ เน้นฟีลกู้ด ให้ความหวังและกำลังใจ สอนให้มองหาแสงสว่างในความมืด ซึ่งไม่ถึงกับโลกสวยเพราะยังอยู่บนพื้นฐานของโลกความเป็นจริงที่โหดร้าย และบางทีตัวละครก็พ่นคำคมคำสอนให้คนดูตรง ๆ เลย ดูง่าย ย่อยง่าย ซึมซับง่าย ไม่ต้องคิดเยอะ และไม่ได้ emotional จัด
ถึงแม้หนังจะมีความคล้ายเรื่องราวของ Anne Frank และไม่ได้นำเสนอแง่มุมแปลกใหม่อะไร แต่หัวข้อที่หยิบมาพูดอย่างเรื่อง kindness และ bullying ก็ยังเป็นเรื่องที่ยังจำเป็นต้องพูดซ้ำในวงกว้าง โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มีความแตกต่างหลากหลายมากขึ้นและโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลต่อเรามากกว่าที่เคย
หนังเน้นย้ำถึงความสำคัญของความใจดี เมตตา ความกล้าหาญที่จะยื่นมือช่วยเหลือหรือเทคแอ็คชั่น เพื่อส่วนรวม เพื่อมนุษยชาติ หรือเพื่อความถูกต้อง เพราะทุกการกระทำเล็ก ๆ ไม่ว่าจะด้านดีหรือด้านร้าย จากคนตัวเล็กหรือตัวใหญ่ มันล้วนส่งผลกระทบหรือสร้างเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ได้ไม่มากก็น้อย
“You forget many things in life, but you never forget kindness.”