Suffragette สร้างจากเหตุการณ์จริงช่วงปี 1912-1913 เกี่ยวกับเรื่องราวของ “Suffragette” เฟมินิสต์ชาวอังกฤษที่รวมกลุ่มกันต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีที่จะได้มีสิทธิมีเสียงในการเลือกตั้งเท่าเทียมกับผู้ชาย
“Deeds, not words,”
เรื่องย่อ Suffragette
Maud Watts (Carey Mulligan จาก Never Let Me Go, An Education, Drive) ทำงานอยู่ที่โรงซักรีดแห่งหนึ่งของ Mr.Taylor (Geoff Bell จาก Kingsman) เจ้านายผู้ชอบข่มเหงลูกจ้างเด็กหญิงเอ๊าะๆ
วันหนึ่ง Maud จับพลัดจับผลูต้องไปพูดสปีชแทน Violet Mitchell (Anne-Marie Duff จาก Before I Go to Sleep) เพื่อนร่วมงานของเธอที่อยู่ในกลุ่ม Suffragette ซึ่งสปีชที่ไม่ได้ตั้งใจในครั้งนั้นกลับจุดประกายพลังหญิงในตัวเธอให้ลุกขึ้นมาฮึดสู้เพื่อสิทธิของลูกผู้หญิงกับเขาบ้าง
Maud ตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่ม Suffragette ซึ่งอยู่ภายใต้การนำของ Emmeline Pankhurst (Meryl Streep จาก The Iron Lady, The Devil Wears Prada) และได้เป็นเพื่อนกับ Edith Ellyn (Helena Bonham Carter จาก Harry Potter, Alice in Wonderland, Sweeney Todd) และ Emily Davison (Natalie Press จาก My Summer of Love)
Maud และเพื่อนๆ ถูกจับกุม สามีของเธอ Sonny (Ben Whishaw จาก Skyfall, The Lobster, Cloud Atlas) ก็ไล่เธอออกจากบ้าน และไม่ให้เธอพบหน้าลูกชาย เพราะตามกฎหมายลูกเป็นสิทธิของผู้เป็นพ่อโดยสมบูรณ์
แต่นั่นก็ไม่ทำให้ Maud ลดละอุดมการณ์ เธอยิ่งฮึดสู้เพื่อสิทธิสตรีมากขึ้น เพื่อสิทธิมนุษยชน สิทธิการเลือกตั้ง สิทธิในค่าจ้างที่เท่าเทียม และสิทธิในการเลี้ยงดูบุตรของเธอ
“We’re half of the human race; you can’t stop us,”
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Suffragette
ถ้าจะบอกว่าเราชอบหนังเรื่อง Suffragette ก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะเอาตรงๆ เราว่าเราชอบเรื่องราวการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีของ “Suffragette” และการตีแผ่ความไม่เท่าเทียมทางเพศในยุคสมัยนั้นที่หนังหยิบจับมาเป็นประเด็นมากกว่าจะชอบที่ตัวหนังมันจริงๆ
ในความคิดของเรา Suffragette เป็นหนังที่มีวัตถุดิบที่ดีและทันกระแส (ปีนี้เป็นปีของหนัง Feminist) แล้วกลุ่ม Suffragette นี่ไม่ใช่กลุ่มพลังหญิงทั่วไป หากแต่เป็น feminist activist กลุ่มแรกๆ ของโลก มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ มีอิทธิพลต่อ gender equality ในยุคปัจจุบันทั่วโลก โดยเฉพาะสิทธิการเลือกตั้งที่เท่าเทียมกันทุกเพศ แถมเรื่องราวของพวกเธอนั้นก็ยังไม่ค่อยได้ถูกตีแผ่นำเสนออย่างจริงจังมาก่อน
‘If they want us to respect the law, they need to make the law respectable,’
สิ่งที่เราเสียดายคือ หนังไม่ได้มีพลังมากพอที่จะดึงคนดูอย่างเราให้เข้าไปอินเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในหนังได้อย่างเต็มที่ และไม่สามารถจุดไฟพลังหญิงในตัวเราได้มากอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งๆ ที่ปกติตัวเราเองก็เป็นคนที่สนใจประเด็น Feminist
และอีกอย่างคือ ช่วงบทสรุปของหนัง หนังก็สรุปแต่ประเด็นการเมือง แล้วทิ้งประเด็นครอบครัวไปเลย ทั้งๆ ที่ตอนแรกปูพื้นเรื่องครอบครัวของนางเอกไว้ดีมาก แถมไอ้ประเด็นการเมืองช่วงท้ายที่ว่าพีค ก็ใช่ว่าจะพีคสนิทใจ – พูดง่ายๆ หนังมันยังขยี้ได้ไม่สุด
กล่าวคือ จู่ๆ หนังก็ให้ Emily Davison มีบทบาทสำคัญในช่วงท้าย ทั้งที่ก่อนหน้าแทบไม่ปู background หรือบ่งบอก motivation ของเธอให้คนดูบ้างเลย (แต่ตามประวัติศาสตร์จริง นางก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของกระบวนการจริงๆ นั่นแหละ) หนังมัวแต่ให้ความสำคัญกับ background ของตัวเดินเรื่อง Maud Watts และ Violet Miller ทั้งที่ก็ไม่ได้เป็นกุญแจสำคัญของกระบวนการนัก แล้วสุดท้ายก็ไม่ตั้งใจสรุปปมของพวกนางให้เราเลย
แต่ยังดีที่ฉากสำคัญๆ ยังพอบีบหัวใจและเค้นน้ำตาเราได้อยู่ โดยเฉพาะซีนแม่ลูกผูกพัน กับซีนที่ผู้หญิงถูกผู้ชายทั้งนายจ้างและตำรวจทำร้ายประกอบกับหนังยังมี quote ที่นักแสดงนำหญิงในเรื่องพูดเด็ดๆ โดนใจอยู่หลายคำอยู่ ตราตรึงสุดๆ ถ้าเป็นไปได้ ดูไปนี่ก็อยากจะหยิบปากกาขึ้นมาจดตามไปด้วยเสียตอนนั้น
หัวใจสำคัญของหนังเรื่องนี้คือ นักแสดงนำ สาวๆ แต่ละคนฝีมือระดับ “ตัวแม่” แห่งวงการกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Carey Mulligan, Anne-Marie Duff, Helena Bonham Carter, และ Meryl Streep (คนหลังสุดนี่ขึ้นชื่อว่าตัวจริงก็เป็นเฟมินิสต์ตัวยงเลยทีเดียว)
โดยเฉพาะการแสดงของ Carey Mulligan กับ Anne-Marie Duff ในเรื่องนี้คือโดดเด่นมาก ทั้งสองนางเล่นดีมาก เชื่อว่าคงได้เข้าชิงหรืออาจได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงและสมทบหญิงยอดเยี่ยมสักเวทีแน่ๆ (ที่น่าจะเป็นไปได้สูงสุดน่าจะเวทีลูกโลกทองคำ)
อย่างไรก็ดี เราก็แอบเสียดายที่ Meryl Streep บทน้อยไปหน่อย ไม่ใช่อะไรนะ คือความรู้สึกเราเหมือนถูกโปสเตอร์หลอก เพราะโปสเตอร์นี่แปะหน้าเจ๊ Meryl Streep มาขายหรามาก แต่เอาเข้าจริงๆ นางออกมาจริงๆ แค่ประมาณ 5 นาทีได้ จบ
อ้อ สุดท้ายนี้ จะลืมชมพี่ Ben Whishaw ที่เล่นเป็นสามีนางเอกไปไม่ได้เลย รายนี้นี่ก็แสดงดีงามไม่แพ้ผู้หญิงทุกคนในเรื่อง ช่วงนี้เป็นช่วงปีทองของพี่ Ben Whishaw เขาเลยจริงๆ – หล่อไม่มาก แต่งานชุกมากกกกก~ (เพิ่งดูพี่แกใน Spectre กับ The Lobster ไปหยกๆ เดี๋ยววีคนี้ยังได้ดูอีกทั้ง Suffragette เรื่องนี้ กับ In the Heart of the Sea)
“I would rather be a rebel than a slave!”
โดยสรุป ถึงแม้ภาพรวมของ Suffragette อาจจะไม่ใช่หนังดีเด่ระดับออสการ์ แต่การแสดงของเหล่านักแสดงนำนี่ไปออสการ์ (หรือเวทีใหญ่ๆ) ได้ไม่ยาก พวกนางเล่นดีจริงๆ อยากให้ทุกคนได้ไปเห็นด้วยตาตนเอง
อีกอย่าง เรื่องราวของกลุ่ม “Suffragette” ก็เป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์สำคัญที่อยากให้ทุกคน โดยเฉพาะผู้หญิงทั้งหลาย ได้มาสัมผัส จะได้รู้ว่า กว่าพวกเราจะได้มาซึ่งสิทธิความเท่าเทียมโดยเฉพาะสิทธิการเลือกตั้งอย่างทุกวันนี้นั้นไม่ง่าย ต้องมีสาวๆ ผู้เสียสละต่อสู้จนถูกจำคุกทรมานมาแล้วกี่พันคน และยังมีการเสียเลือดเสียเนื้อของสาวๆ ไปแล้วเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
“War is the only language men listen to,”
Suffragette เป็นหนึ่งในหนังปลุกพลังหญิงแห่งปี เข้าฉาย 3 ธ.ค. 2015 นี้ ในโรงภาพยนตร์
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 7.5/10
“Never surrender. Never give up the fight.”
- ดูรูปจริงและคลิปจากเหตุการณ์จริง (ปี 1913) จากฉากสนามม้าในเรื่อง: Riot girls on film: how silent cinema lent the suffragettes a voice
- Read More: ‘Suffragette’: The Real Women Who Inspired the Film
37 comments