ในวีคที่ออสการ์เพิ่งประกาศสดๆ ร้อนๆ แบบนี้ หนังโรงที่ไม่ใช่หนังออสการ์ในช่วงนี้คงหืดขึ้นคอกันไม่มากก็น้อย แต่เราเชื่อว่า ในบรรดาหนังที่เข้าใหม่ในวีคนี้ (26 ก.พ. 2015) อย่างน้อยๆ ก็คงจะมีสาวๆ หลายคนเคยหยุดจ้องโปสเตอร์หนังบริติชที่มีหนุ่มๆ “สุภาพบุรุษจุฑาเทพ” ยืนสมาร์ตหน้าหล่อเรียงรายกันเป็นตับ และ/หรือใส่หนังเรื่องนั้นไว้ใน wish list เผื่อจะหนีแฟนมาดูได้บ้างใน movie day (ที่ตั๋วหนัง 80-100 บาท) ทั้งๆ ที่อาจจะยังจำชื่อหนังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
หนังเรื่องดังกล่าวชื่อว่า The Riot Club สร้างจากบทละครเวทีเรื่อง Posh ของ Laura Wade โดยในปี 2010 จัดแสดงที่ Royal Court Theatre ลอนดอน และพอ 2014 Laura Wade ได้เขียนเป็นบทภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้น กำกับโดย Lone Scherfig ผู้กำกับหญิงจาก One Day และ An Education แสดงนำโดยนักแสดงหนุ่มสุดฮอตแห่งเกาะอังกฤษ Sam Claflin, Max Irons, และ Douglas Booth
โดยเบื้องต้น The Riot Club แปลง่ายๆ ว่าเป็นคลับที่สำมะเลเทเมาคลับหนึ่ง แต่ถ้าเอาตามท้องเรื่อง คำว่า “Riot“ ในหนัง คลับนี้เขาตั้งชื่อคลับตามชื่อของ Lord Riot (Harry Lloyd จาก Game of Thrones และ The Theory of Everything) ลอร์ดผู้สูงศักดิ์แห่งศตวรรษที่ 17 ที่ถูกแทงดับอนาถเพราะไปเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน
เรื่องย่อ The Riot Club
The Riot Club เป็นคลับรวม 10 หนุ่มสุภาพบุรุษ รูปหล่อที่สุด บ้านรวยที่สุด หัวดีที่สุด และมีสายเลือดบริสุทธิ์ แห่ง Oxford University หนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในโลก โดยในปีการศึกษาใหม่นี้ “The Riot Club” ต้องเปิดรับสมาชิกใหม่เพิ่ม 2 คน หลังจากสมาชิกเก่าเรียนจบไป โดย “General” James Leighton (Freddie Fox จาก The Three Musketeers) ได้มอบหมายให้สมาชิกทุกคนช่วยกันเฟ้นหา nominee ที่เหมาะสมที่สุด เพื่อเอามาคัดสรรและแต่งตั้งให้เป็น “Rioters” สืบทอดต่อไป
Harry Villiers (Douglas Booth จาก LOL, Romeo & Juliet, Noah, Jupiter Ascending) เสนอชื่อ Alistair Ryle (Sam Claflin จาก Pirates of the Caribbean, The Hunger Games, Love, Rosie) ไฮโซสุดหล่อ น้องชายของอดีต “General” หรือประธานคลับ ผู้ซึ่งเป็น “ตำนาน” ตลอดกาลของเดอะไรออต (ทั้งๆ ที่เขาจบจาก รร. Harrow ไม่ใช่เครือ Eton, St Paul’s หรือ Westminster ตามมาตรฐาน) และ Hugo Fraser-Tyrwhitt (Sam Reid จาก The Railway Man) เสนอชื่อ Miles Richards (Max Irons จาก Red Riding Hood, The Host) หนุ่มหล่อที่มีโคตรเหง้าจบ Oxford ทั้งผังแฟมิลี่ทรี แต่ทำตัวง่ายๆ ติดดิน และพยายาม compromise กับคนจน โดยแฟนสาวของ Miles Richards เองก็เป็นแค่เด็กสาวนักเรียนทุนบ้านๆ คนหนึ่ง ชื่อว่า Lauren (Holliday Grainger จาก Jane Eyre, Anna Karenina)
แน่นอนว่า candidate ทั้งสองได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมสมาคมผู้ดี The Riot Club ซึ่งนั่นไม่ใช่ประเด็นของหนัง ฉากสำคัญของหนังคือการกินเลี้ยงประจำปีของ The Riot Club หรือ the annual Club dinner ที่ปกติจัดเป็นประจำทุกปี (และสร้างปัญหาทุกปี) แล้วเนื่องจากกลุ่ม The Riot Club ถูกร้านอาหารดีๆ ในระยะ 15 ไมล์ ปิดป้าย “ห้ามเข้า” หมดเสียสิ้น ในปีนี้พวกเขาเลยต้องระหกระเหินมาร้านอาหารเล็กๆ ในชนบทอันไกลโพ้นจากความศิวิไลซ์
เพราะด้วยเห็นว่าหนุ่มๆ เป็นลูกผู้ดีมีสกุลและมีการศึกษา คุณ Chris เจ้าของร้าน (Gordon Brown) จึงเอาอกเอาใจ ปฏิบัติต่อหนุ่มๆ The Riot Club อย่างดีเว่อร์ และพยายามทำทุกอย่างให้แขก VIP กลุ่มนี้เกิดความพอใจสูงสุด จนละเลยความสำคัญของแขกประจำในท้องถิ่นรวมถึงโต๊ะลูกค้าที่อุตส่าห์มาฉลองครบรอบการแต่งงาน 40 ปีที่ร้านของเขา การบริการสองมาตรฐานของเจ้าของร้าน ประกอบกับเสียงอึกทึกครึกโครมของหนุ่มๆ ออกซ์ฟอร์ด ทำให้แขกเหรื่อในร้านไม่พอใจ แม้แต่ Rachel (Jessica Brown Findlay) ลูกสาวของเจ้าของร้านเอง ก็ไม่เห็นด้วยกับการเลือกปฏิบัติของผู้เป็นพ่อ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า Chris จะเทคแคร์หนุ่มๆ The Riot Club ดีแค่ไหน แต่พอยิ่งเมา หนุ่มๆ ก็ยิ่งสร้างปัญหา เช่น แอบพา Charlie โสเภณีขายตัว (Natalie Dormer จาก Game of Thrones, The Hunger Games: Mockingjay) เข้ามาในร้าน เพื่อให้นางทำ Oral Sex ใต้โต๊ะให้พวกเขารอบวง อีกทั้งยังทำลายข้าวของ และทำร้ายร่างกายเจ้าของร้านจนเจ็บปางตาย แล้วเพื่อรักษาชื่อเสียงของคลับและเพื่อไม่ให้ถูกออกซ์ฟอร์ดไล่ออกกันยกแก๊ง พวกเขาจำเป็นต้องให้ 1 ใน 10 คนเป็นแพะรับบาป และเดือดร้อนถึง Uncle Jeremy (Tom Hollander จาก Pirates of the Caribbean) คุณลุงของ Harry ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกคลับและปัจจุบันเป็นนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพล เข้ามาช่วยจัดการ
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ The Riot Club
1. Bullingdon Club
Riot Club ที่เรารู้จักในหนังเรื่องนี้นั้นมีอยู่จริงที่ Oxford ในนามของ Bullingdon Club ซึ่งเป็น dining club ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ประมาณปี 1780 วีรกรรมของ Bullingdon Club ที่โด่งดังที่สุด เกิดขึ้นในคืนดินเนอร์ของคลับ ณ วันที่ 12 พ.ค. 1894 ในคืนนั้นสมาชิกไฮโซทั้งหลายทำลายข้าวของ ทั้งแก้ว กระจก ไฟระย้า และหน้าต่างกว่า 468 บานใน Peckwater Quad ของ Christ Church จนตกเป็นประเด็นฉาวทั่วโลก ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เหมือนๆ กับในหนัง The Riot Club เลย
สมาชิกจริงๆ ของ Bullingdon Club ก็มีคุณลักษณะแบบในหนังเลยเช่นกัน แต่ละคนเป็นคนใหญ่คนโตหรือมีเชื้อมีสายกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ดยุค เจ้าชาย หรือรัชทายาท เช่น นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของอังกฤษ David Camero, Chancellor of the Exchequer George Osborne, และ Mayor of London Boris Johnson
และคนไทยทั้งหลายควรทราบด้วยว่า แม้แต่ รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรีแห่งสยามประเทศ ก็เคยเป็นหนึ่งในสมาชิกของ Bullingdon Club นี้ เมื่อประมาณปี 1899-1901 สมัยที่พระองค์ทรงเรียนประวัติศาสตร์และกฎหมายที่วิทยาลัยไครสต์เชิร์ช (Christ Church), Oxford อู้หู~ ธรรมดาซะที่ไหนเล่า (thesis ของพระองค์ เรื่อง “The War of the Polish Succession” แต่เห็นว่าสุดท้ายไม่ได้รับปริญญา ส่วนสาเหตุไม่แน่ชัด แต่ละแหล่งที่มาเขาเขียนไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเอาตามใน wiki เขาเขียนว่าตอนนั้น ร.6 ทรงประชวรด้วยโรคไส้ติ่งอักเสบ)
The New York Times told its readers in 1913 that “The Bullingdon represents the acme of exclusiveness at Oxford; it is the club of the sons of nobility, the sons of great wealth; its membership represents the ‘young bloods’ of the university”.
(สรุปข้อมูลจาก wiki)
รูป: THE BULLINGDON IN 1860 (tatler.com)
2. We start from scratch?
ชนชั้นกลางจนไปถึงคนจนชนชั้นล่างหลายคนเกิดมาแบบมือเปล่า บรรพบุรุษตายไปก็ไม่ได้เหลือมรดกตกทอดมาถึงลูกถึงหลาน (ถ้าจะส่งต่อให้ก็คงมีแต่หนี้สินบานตะไท) พวกเขาต้องดิ้นรนมากกว่าชนอีกชั้นเพื่อที่จะได้สิ่งที่ดีที่สุด รักษาสิ่งที่ดีที่สุด และสร้างสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง เช่น Lauren (Holliday Grainger) ที่ต้องฟาดฟันแทบตายเพื่อจะได้เข้ามาเรียนที่ Oxford และยังต้องทำงานรับจ้างเสริม เก็บหอมรอมริบ เพื่อที่จะได้หาเงินไว้เป็นทุนการศึกษาเลี้ยงส่งตัวเองจนกว่าจะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยแพงแสนแพง หรือเจ้าของร้านอาหารเล็กๆ ที่ต้องกู้เงินมาส่งลูกสาวเรียนหนังสือในที่ดีๆ เพื่ออนาคตของลูกจะได้ไม่ลำบากเหมือนพ่อแม่
ตรงกันข้ามกับไฮโซชนชั้นสูงหรือลูกผู้ดีมีตระกูลที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ที่ได้ทุกอย่างมาได้โดยไม่ต้องพยายาม เส้นทางในชีวิตอันยาวไกลทุกเส้นทางที่ต้องการล้วนเป็นไปได้เพียงกระดิกนิ้ว หรือต่อให้ประสบปัญหาหรือข้อติดขัดประการใด ก็จัดการง่ายๆ เพียงแค่เอาเงินตัดจบ สิ่งที่เหมือนจะเป็นไปไม่ได้ก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ง่ายขึ้นมาในบัดดล… เพียงเงินบันดาล… ซึ่งใน The Riot Club เราจะได้รู้จักกับลูกหลายไฮโซหลากหลายแบบด้วยกัน
Miles (Max Irons) เป็นตัวแทนของเด็กไฮโซที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เข้ากับ Oxbridge แต่ก็อยากจะเข้ากับสังคมชั้นสูงอย่าง The Riot Club พร้อมๆ กับกลมกลืนกับสังคมชนชั้นกลางให้ได้ เขาเป็นคนจิตใจดี ง่ายๆ แต่ก็อยากให้เป็นที่ยอมรับทางสังคมและพยายามอย่างมากที่จะเข้ากับคนอื่น จนเกือบเสียความเป็นตัวเองและเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตไป
ส่วน Alistair (Sam Claflin) เป็นตัวแทนของเด็กไฮโซที่รู้สึกว่าตัวเองต้องคอยตามหลังพี่ชายของตัวเองทุกอย่าง และอยากจะออกจากการเป็นเงาของพี่ชายเต็มแก่ เขาอยากเป็นที่ยอมรับและเป็นตำนานในแบบที่ไม่ใช่แบบของพี่ชายตนเอง เขาพยายามทำให้คนอื่นประทับใจ โดยไม่ได้ตระหนักว่าราคาที่เขาต้องแลกนั้นมันช่างสูงเสียเหลือเกิน
ตัวละครอื่นๆ ในแก๊ง เช่น Harry (Douglas Booth) เป็นนักกีฬาฟันดาบ เป็นผู้ดีเก่า แต่หลงใหลมัวเมาในอำนาจและกามารมณ์, James (Freddie Fox) ประธานชมรมที่มุ่งมั่นจะทำงานในด้านไฟแนนซ์, และ Hugo (Sam Reid) ไฮโซเกย์ในกลุ่ม Riot ที่แอบชอบเด็กเฟรชชี่, Dimitri Mitropoulos (Ben Schnetzer จาก The Book Thief ) หนุ่มกรีกผู้ร่ำรวยมหาศาล แต่มิวายถูกเหยียดด้วยสัญชาติอยู่ร่ำๆ, George Balfour (Jack Farthing) เด็กที่ร่ำรวยจากที่ดินฟาร์มใหญ่ของครอบครัว จึงดูมีความใกล้เคียงกับปุถุชนคนธรรมดามากกว่าเพื่อนๆ
ตัวละครหนุ่มๆ เหล่านี้ ฉากหน้าดูเป็นสุภาพบุรุษสุดเพอร์เฟ็กต์ แต่พอถึงเวลาปลดปล่อยปิศาจในตัวออกมาแล้วเละเทะจนไม่เหลือความเป็นผู้ดี พูดง่ายๆ เป็น “ผู้ดีแต่เปลือก” นั่นเอง ลึกๆ แล้วเขาก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ กระหายเซ็กส์ และคลั่งไคล้อำนาจเงินเหนือสิ่งอื่นใด ฉากในห้อง VIP ของร้านอาหารที่พวกเขาก่อเรื่องนั้น คือกระจกสะท้อนชั้นดีที่จะทำให้คนดูเห็นด้านมืดของคนเหล่านี้ ซึ่ง “เหลือเกียรติ” น้อยกว่าโสเภณีอีตัว (Natalie Dormer) หรือผู้หญิงที่ไม่ค่อยมีอันจะกิน (Holliday Grainger) เสียอีก
นอกจากนี้ ยังมีตัวละครรุ่นเดอะ อดีตสมาชิกวัยกลางคน Uncle Jeremy (Tom Hollander) ที่เป็นตัวแทนของสมาชิกกลุ่มนี้ ที่ถึงแม้สมัยเรียนจะเละแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ได้ดิบได้ดีมีอำนาจและมีหน้ามีตาในสังคมชั้นสูง ซึ่งในชีวิตจริง เราก็คงเห็นกันแล้วว่ามีสมาชิกของคลับดังกล่าวต่างจบมาแล้วทะยานขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศหรือผู้นำในวงการธุรกิจหมื่นล้านกันทั้งนั้น
3. Class War
คนจนมีทั้งดีทั้งแย่อย่างไร ในสังคมคนรวยก็มีทั้งดีทั้งแย่อย่างนั้น ถึงแม้สภาพแวดล้อมจะมีส่วนอย่างมากในการกำหนดลักษณะนิสัย ค่านิยม และทัศนคติของคน แต่เราไม่ควรตัดสินใครแบบ “เหมารวม” จากตระกูลที่เขาเกิด โรงเรียนที่เขาจบ หรือสังคมที่เขาอยู่เสมอไป
เรื่องคนจนกับคนรวยเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ดังนั้นเราจะไม่พูดถึงประเด็นนี้ที่เกี่ยวข้องกับโลกแห่งความเป็นจริง แต่จะพยายามพูดแค่ประเด็นที่เห็นจากในหนังเท่านั้น ซึ่งอย่างที่เห็นจากในหนัง ในกลุ่ม The Riot Club ก็มีทั้งคนที่อยากจะประนีประนอมหรือแบ่งปันให้กับชนชั้นอื่น ส่วนไอ้คนที่เหยียดชนชั้นหรือรังเกียจคนที่ด้อยกว่านั้นมันก็มี แล้วก็คงไม่แปลกที่คนจนจะเกลียดคนรวย อิจฉาคนรวย หวังเกาะประโยชน์จากคนรวย หรือพยายามประจบเลียแข้งเลียขาคนรวย แต่จริงๆ แล้วความขัดแย้งทางชนชั้นจะซับซ้อนน้อยกว่านี้ ถ้าต่างฝ่ายต่าง “เลิกมองว่าเราแตกต่างกัน”
ในปัจจุบัน ไม่ใช่แค่เงินทองในกระเป๋า ขนาดของบ้านที่อยู่ อาหารที่กิน ไวน์ที่ดื่ม หรือเสื้อผ้าที่ใส่เท่านั้น ที่แบ่งแยกความแตกต่างทางชนชั้น หากแต่ยังมี “ระดับภาษา” ที่ทำให้เราแตกต่างกัน เช่น คำว่าขนมหวาน คนทั่วไปเรียก ‘dessert’ แต่คนรวยจะเรียก ‘pudding’
รากเหล้าทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยากและฝังลึกอยู่ในตัวคนคนนั้นอย่างแยกออกได้ยาก ถ้าพูดในเรื่องของรากเหง้า ก็จะพูดต่อได้อีกว่าไม่ใช่แค่ “ภาษา” ที่ใช้เท่านั้นที่ทำให้คนแบ่งแยก อย่างที่เราเห็นในหนัง ก็จะมีเรื่อง “เชื้อชาติ” และ “ชาติกำเนิด” อีก ที่ทำให้ต้องต่างคนต่างอยู่ อย่างในกลุ่ม The Riot Club ก็มีปัญหาเพื่อนผิดใจกัน เพราะมีการกีดกันว่าคนที่จะขึ้นมาเป็นประธานกลุ่มจะต้องเป็นคนอังกฤษแท้ๆ 100% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าความแตกต่างข้างต้นทั้งหมดมันก็ไม่เป็นปัญหามากมายอีกนั่นแหละ ถ้าต่างฝ่ายต่างยอมรับ ให้เกียรติ และเข้าใจอีกฝ่าย
เช่นเดียวกัน คนจนหรือชนชั้นกลางก็ไม่ควรไปด่าเขาหรือประจบเอาใจคนรวยมากๆ จนเขายิ่ง ‘spoilt’ ไปกันใหญ่ เราให้เกียรติเขาน่ะใช่แต่ต้องให้เกียรติตัวเองด้วย เอาใจใส่ได้แต่ไม่ใช่เอาใจเขาจนเกินพอดี เพราะถ้าคุณยิ่งทำอย่างนั้น คนรวยเขาก็จะยิ่งได้ใจและรู้สึกมั่นหน้าไปกันใหญ่ว่าเขาเหนือกว่าคุณหรือคุณน่ะด้อยกว่าเขา
โดยส่วนตัว เราคิดว่าการภูมิใจหรือ ‘proud’ ในตัวเองเป็นเรื่องที่ดี มันไม่ผิด แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องระวังอย่าให้ความ ‘proud’ นั้นมันโตจนกลายเป็นอีโก้ (Ego) และต้องอย่ามองว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นไปเสียทุกเรื่อง โปรไฟล์ที่ดี ชาติกำเนิดที่ดี การศึกษาที่ดี หรือฐานะที่ดี มันอาจจะสร้างได้บ้างสร้างไม่ได้บ้าง แต่ที่แน่ๆ “สิ่งที่มี” และ “สิ่งที่สร้างมา” อย่างสูงส่งทั้งหมดนั้น ไม่ได้แปลว่ามันจะถูก “ทำลาย” ไม่ได้ จริงมั้ย?
‘We’ve got the finest sperm in the country!’
.
4. Verdict
โดยสรุป The Riot Club เป็นหนังสะท้อนปัญหาชนชั้น ด้านมืดของสังคมชนชั้นสูงและผู้ดีอังกฤษ โดยเฉพาะ Bullingdon Club ของมหาวิทยาลัยชั้นนำที่คนทั้งโลกใฝ่ฝัน รวมถึงมุมมองและวิถีที่คนแต่ละชนชั้นปฏิบัติต่อกัน ผ่านบทไดอะล็อกที่เฉียบแหลมคมคาย(มากๆ) ของ Laura Wade ข้อคิดเยอะแยะมากมาย ฉากทำลายล้างก็มันดิบมาก ดาร์คกำลังดี ที่สำคัญที่สุด นักแสดงหล่อดีมีเสน่ห์ (คุ้มค่าตั๋วสุดก็ตรงนี้แหละ) แล้วไม่ใช่แค่ smart & handsome หากแต่ยังแสดงดีมากๆ ด้วย เข้าถึงบทบาทกันทุกคนเลย โดยเฉพาะ Max Irons นี่เซอร์ไพรส์มาก (แต่ก็นะ ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น) บอกเลย หนังเรื่องนี้เขา casting ชนะเลิศ
7.5/10
35 comments