“How do people turn to cows?”
หลังจาก Donald Trump ประธานาธิบดีคนล่าสุดของอเมริกา ลงนาม ban มุสลิมจาก 7 ประเทศ ก็เกิดการต่อต้านแทบทุกวงการไม่เว้นแม้แต่วงการบันเทิง ล่าสุด Asghar Farhadi ผู้กำกับและเขียนบท The Salesman หนังที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์และลูกโลกทองคำสาขา Best Foreign Language Film ออกมาปฏิเสธการเข้าร่วมงานประกาศผลรางวัลแม้เขาจะได้รับสิทธิยกเว้นให้เข้าประเทศมาร่วมงานได้ก็ตาม
Asghar Farhadi เป็นหนึ่งในผู้กำกับ-นักเขียนบทชาวอิหร่านที่มีฝีมือคนหนึ่งในวงการภาพยนตร์ ก่อนหน้า The Salesman เขาเคยกำกับและเขียนบทเรื่อง A Separation ซึ่งได้รับออสการ์สาขา Best Foreign Language Film ปี 2011 และได้เข้าชิงออสการ์ Best Original Screenplay ในปีเดียวกัน
ส่วนใหญ่หนังของ Asghar Farhadi มักว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นปมพื้นฐานของมนุษย์แต่นมนาน และใน The Salesman นี้ก็เป็นเรื่องของสองสามีภรรยาคู่หนึ่งในวงการละครเวทีที่ต้องด่วนย้ายเข้าไปอยู่ที่อพาร์ตเมนต์แห่งใหม่เพราะที่ตึกเก่าจะถล่ม และคืนหนึ่งก็เจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตคู่ของพวกเขาไปตลอดกาล
รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ The Salesman (เปิดเผยเนื้อหาสำคัญบางส่วน)
เราไปดู The Salesman โดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเนื้อหาในหนังเลย ตอนแรกก็คิดว่ามันจะแนว Horror แฝง Culture เหมือน Under the Shadow หรือเปล่านะ เห็นในเทรลเลอร์มีบางเหตุการณ์ที่คล้ายกันและเกิดที่เมืองเตหะราน (เมืองหลวงอิหร่าน) เหมือนกัน พอมาดูจริง ๆ พบว่า The Salesman นี่มัน Drama แฝง Culture ของมุสลิมชัด ๆ
แต่ต้องเตือนคนดูทั่วไปก่อนว่า ถึงแม้ The Salesman จะเป็นหนังดีเมืองคานส์ที่ดูไม่ยาก (เมื่อเทียบกับหนังคานส์หลาย ๆ เรื่อง) แต่ก็เดาทางของเรื่องไม่ง่ายเลย และแน่นอน…ไม่ใช่หนังที่จะดูเพื่อความบันเทิงหรือคลายเครียด ตรงกันข้าม… ดูแล้วอาจจะเครียดหนักขึ้นเสียด้วยซ้ำ
หนังเรื่องนี้มีตัวละครเอกสองตัวเป็นสามีภรรยากันคือ Emad กับ Rana (Shahab Hosseini และ Taraneh Alidoosti ตามลำดับ ซึ่งการแสดงไร้ที่ติทั้งคู่) ในชีวิตปกติ Rana ผู้เป็นภรรยาก็อยู่บ้าน มีแต่ Emad ที่ทำงานนอกบ้าน เขาเป็นครูที่เป็นที่รักของเด็ก ๆ นักเรียนชาย (ทั้งชั้นมีแต่เด็กผู้ชายล้วน ๆ ไม่มีเด็กนักเรียนหญิงเลย) ในคลาสเขากำลังสอนเนื้อหาจากภาพยนตร์เรื่อง Gāv หรือ The Cow (1969) ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องของชายคนนึงที่รักวัวของเขามาก พอวัวตาย เขาทำใจไม่ได้และค่อย ๆ กลายเป็นวัว
นอกจากนี้ ทั้ง Emad กับ Rana เป็นนักแสดงละครเวทีที่ตอนนี้กำลังแสดงเรื่อง Death of a Salesman จากบทประพันธ์ของนักเขียนชาวอเมริกัน Arthur Miller ซึ่งเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของครอบครัวชนชั้นกลางที่ Willy ผู้เป็นสามี เซลส์แมนผู้ตรากตรำทำงานหาเงินแต่ก็แอบมีหญิงอื่นโดยที่ Linda ภรรยาของไม่รู้และยังเทิดทูนสามี แล้วชีวิตจริงกับบทบาทในละครเวทีของทั้งสองนี้มันมีความสอดคล้องกันบางประการ (ในละครเวที Emad กับ Rana ก็เล่นเป็นสามีภรรยากันด้วย)
จุดเปลี่ยนของเรื่องราวในหนัง The Salesman มันเกิดขึ้นที่อพาร์ตเมนต์แห่งใหม่ คืนหนึ่ง Rana เปิดประตูให้ชายปริศนาเข้ามาในห้องขณะที่เธอกำลังอาบน้ำเพราะเธอคิดว่า Emad กลับบ้านมาแล้ว แต่จริง ๆ แล้วชายผู้นั้นคือลูกค้าของหญิงเจ้าของห้องคนเก่าซึ่งทำงานเป็นผู้หญิงกลางคืน
เราไม่รู้แน่ชัดว่าชายผู้นั้นเข้ามาทำมิดีมิร้าย Rana ถึงขั้นไหนอย่างไร แต่เราเข้าใจว่า สำหรับผู้หญิงมุสลิม แค่ชายอื่นที่ไม่ใช่สามีมาเห็นเนื้อหนังของเธอนิด ๆ หน่อย ๆ (เช่น ณ ขณะที่ใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้น) ก็เป็นเรื่องน่าอับอายอย่างยิ่งแล้ว เธอจึงไม่ยอมแจ้งความกับตำรวจ เพราะไม่อยากให้เรื่องราวใหญ่โตและต้องไปเล่าเรื่องน่าอับอายนี้ซ้ำให้คนอื่นฟัง (คล้าย ๆ กับสังคมปิตุลาธิปไตย หรือสังคมเมืองพุทธของไทย ผู้หญิงที่ถูกลวนลามหรือข่มขืนก็มักต้องยอมปล่อยผ่าน น้อยรายมากที่จะกล้าไปแจ้งความดำเนินคดี)
ส่วน Emad ก็ทนไม่ได้ที่เมียถูกย่ำยี… หรือถ้าพูดให้ถูกคือ เขาทนไม่ได้ที่เกียรติของเขาถูกย่ำยี… ย่ำยีที่มีชายอื่นบุกเข้ามาในบ้านของเขา ทำร้ายภรรยาของเขา เหมือนเขาปกป้องครอบครัวตัวเองไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ฉากกินข้าว พอเขารู้ว่ามื้อเย็นที่เขากำลังกินอยู่มาจากเงินก้อนที่ชายคนนั้นทิ้งเอาไว้ให้ เขาทิ้งพาสต้าชามนั้นทันที และสั่งพิซซ่ามากินแทน ดังนั้น เมื่อ Rana ไม่ยอมดำเนินคดีทางกฎหมาย เพื่อนบ้านก็เริ่มครหานินทา เขาจึงทำตัวเป็นนักสืบตามล่าหาชายโฉดคนนั้นและลงโทษด้วยตัวเอง
ซึ่งบทลงโทษที่เขาจะทำต่อชายผู้นั้น ก็คล้ายกับที่เขาโดน ที่เขารู้สึก กล่าวคือ เขาอยากให้ชายผู้นั้นรู้สึกอับอายและเสียเกียรติ อยากฉีกหน้าต่อหน้าครอบครัวของชายคนนั้น เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวได้เห็นว่าชายผู้เป็นผู้นำของครอบครัวที่ใคร ๆ เทิดทูนนั้นเคยใช้บริการสาวบริการและมาย่ำยีภรรยาคนอื่นถึงห้อง
อีกนัยนึงคือ ความโกรธแค้นและความเกลียดชังกำลังทำให้ Emad ค่อย ๆ กลายเป็นวัวอย่างช้า ๆ เช่นเดียวกับตัวละครในหนังเรื่อง Gāv หรือ The Cow (1969) ที่เขาใช้สอนเด็ก ๆ ในคลาสเรียน
นอกจากเคสของ Rana แล้ว ในหนังก็จะมีประเด็นบทบาททางเพศหรือการกดขี่ทางเพศให้เห็นอีก เช่น ผู้หญิงบนรถแท็กซี่ขอแลกที่ไปนั่งเบาะหน้าข้างคนขับเพราะไม่อยากนั่งใกล้ Emad ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้เคยเจอประสบการณ์เลวร้ายกับผู้ชาย เช่น Sexual Assualt มา ทำนองเดียวกับ Rana หรืออีกเคสที่นักแสดงหญิงอีกคนโกรธนักแสดงชายที่ขำเยาะเธอในขณะที่เธอกำลังสวมบทบาทเป็นหญิงขายบริการ
สิ่งที่เราชอบในหนัง The Salesman คือเขาไม่พยายามยัดเยียดความคิดหรือกระทั่งอารมณ์ความรู้สึก สังเกตง่าย ๆ แค่ซาวนด์หรือดนตรีประกอบยังโผล่มาให้ได้ยินน้อยมากตลอดเรื่อง หนังเขาไม่บิลด์อารมณ์คนดู แต่เนื้อเรื่องจะผลักดันให้เราติดตามเรื่องราวต่อไปในตัวของมันเอง ในส่วนของความคิด หนังเขาก็เสนอข้อเท็จจริงในสังคมและวัฒนธรรมของเขาให้คนดูเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วให้คนดูคิดและตัดสินเอาเองว่ามันดีหรือไม่ดี ควรหรือไม่ควร สมราคารางวัล “บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม” จาก Cannes
โดยส่วนตัวเรา ถ้าเอาฟีลลิ่งแว้บแรก เรารู้สึกขัดใจและรำคาญ Rana มากที่ไม่ยอมเล่าเรื่องโดยละเอียดและแจ้งความจับผู้ร้าย แต่พอนึกถึงอีกแง่ ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา… ใจของผู้ถูกกระทำ… และด้วยบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของเขา เราก็จะเข้าใจ เห็นใจ และรู้สึกอยากให้อะไร ๆ Cultural & Societal Norms ของเขาเปลี่ยนแปลงสักที โดยเฉพาะเรื่องเพศ
Rana ถูกทำร้ายอย่างบอบช้ำ ทางกายอาจจะหายได้ได้หมอรักษา แต่ทางจิตทางใจนั้น… มันคงติดตัวเป็นตราบาปในใจเธอตลอดชีวิต ซึ่งคงจะกัดกินหัวจิตหัวใจของสามี และกระทบถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองด้วย อย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้ Emad จะตามไปแก้แค้นเอาคืน ทำให้คนร้ายรู้สึกเหมือนที่พวกเขารู้สึกอย่างไร สิ่งที่เธอรู้สึกมันก็ไม่มีวันหายไป
บนเวทีหรือในละคร หากเธอไม่ไหวหรือเธอทำพลาด ก็แค่กล่าวขอโทษกับคนดู ยกเลิกโชว์ ให้คนอื่นแสดงแทน หรืออาจจะฝืนทนเล่น ๆ ไปเพื่อให้ The Show Must Go On แต่ในชีวิตจริง… เมื่อเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเธอ มันยากที่จะ go on ท่ามกลางสังคมแบบนี้
The Salesman คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8.5/10 เข้าฉาย 16 ก.พ. 2017 ในโรงภาพยนตร์
แต่รอบและโรงฉายมีค่อนข้างจำกัด ดังนั้นแนะนำว่าถ้าหากอยากดู ต้องรีบไปดูตั้งแต่วันแรก ๆ มิฉะนั้นหนังอาจจะหลุดโรงไปก่อนได้
42 comments
Comments are closed.