เมื่อ Ep. ก่อนหน้า เราได้เล่าครึ่งแรกของทริปตุรกีที่เราประเดิมที่อิสตันบูลกันไปแล้ว Ep.นี้ เราจะมาเล่าถึงทริป Cappadocia 4 วัน 3 คืน แบบรวบรัด (อยากให้มันจบใน Ep. เดียว)
สารภาพก่อนว่า ก่อนเราจะบินมาตุรกี เราชั่งใจหลายรอบอยู่ รอบแรกคือ ชั่งใจว่า หลังจากถูกผู้ชายตุรกีที่คุยมาปีกว่าเทเมื่อ มี.ค. ที่ผ่านมาจนต้องแคนเซิลตั๋วไปรอบนึงแล้ว เราจะจองตั๋วจากไทยมาอิสตันบูลเองคนเดียวดีหรือไม่ ชั่งใจต่อมาคือ เราจะอยู่ที่อิสตันบูลตลอดสัปดาห์เลย หรือจะไปคัปปาโดเกียด้วยดี เพราะตอนนั้นยังมีความกังวลว่าตัวเราเป็นผู้หญิงไปคนเดียว อิสตันบูลมันมียังดูเที่ยวง่ายเพราะความคล้ายกรุงเทพฯ แต่คัปปาโดเกียมันคืออีกเรื่อง แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจจองตั๋วมาคัปปาโดเกียก่อนที่เราจะบินมาตุรกีไม่นาน และอีกชั่งใจคือ เราจะขึ้น Hot-Air Balloon ด้วยดีไหม เพราะราคาก็ค่อนข้างสูง (เกือบหมื่นบาทต่อคน) และมีความกังวลว่าถ้าไปขึ้นบอลลูนคนเดียว มันจะแอบเหงา ๆ หรือเปล่า (ฟีลลิ่งเหมือนถีบเรือเป็ดคนเดียว?) แต่สุดท้ายเราก็ก้าวข้ามคอมฟอร์ตโซนของตัวเองมาได้ แล้วผลลัพธ์คือแม่งโคตรรู้สึกดี
เช้าวันสุดท้ายที่อิสตันบูล เราทานบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าที่โรงแรม เพราะต้องทำเวลา รีบเก็บของและเช็คเอาต์ เพื่อไปขึ้นรถ Havabus ข้าง Point Hotel ใกล้รถไฟใต้ดิน (metro) สถานี Taksim ภายใน 12:30 น. เพื่อไปสนามบิน SAW (ค่าโดยสาร 67.5 TRY ต่อเที่ยว หรือคิดเป็นไทยประมาณ 120 บาท เช่นเดียวกับขามา) วันนี้เราน่าจะถึง Cappadocia ตอนเย็น ๆ พอดี
มาถึงสนามบิน 14:00 น. เราก็นั่งเล่นรอที่ Starbucks ในสนามบินก่อน (เที่ยวบินคือ 17:00 น. แต่เราชอบมาก่อนเวลา) เราซื้อตั๋วเครื่องบินไฟล์ท อิสตันบูล-คัปปาโดเกีย กับ Turkish Airlines ทั้งหมดประมาณ 4,700 บาท (รวมค่าเลือกที่นั่งพิเศษ และ flexible flights) ใช้เวลาบินขาละประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที
ทั้งนี้ ต้องเข้าใจก่อนว่า Cappadocia ที่เรานิยมเรียกกันนั้น ไม่ใช่ชื่อเมืองหรือชื่อจังหวัด แต่เป็นชื่อเรียกพื้นที่หรือภูมิภาคแถบนั้น ส่วนชื่อเมืองที่เราจะไป จริง ๆ ชื่อเมือง Göreme (สำคัญมาก เผื่อต้องใช้เซิชหาที่พักหรือใดใด) ซึ่งเลือกได้ 2 สนามบิน ระหว่างสนามบิน Nav (Nevşehir Kapadokya Airport) ซึ่งห่างจากตัวเมือง Göreme ประมาณ 40 นาที และ ASR (Kayseri Erkilet Airport) ซึ่งห่างจากตัวเมือง Göreme ประมาณ 60 นาที โดยขามาจากอิสตันบูล เราลง Nav แล้วขากลับไปอิสตันบูล เราขึ้นที่ ASR (เหตุผลในการเลือกเพราะตารางเวลาบินล้วน ๆ) หรือถ้าไม่เดินทางโดยเครื่องบิน ก็มีทางเลือกที่ราคาถูกกว่าในการมา Cappadocia แต่ใช้เวลานานกว่า นั่นก็คือ รถบัส
ตอนแรกเราคิดว่า ถ้าเราบินไปถึง Cappadocia ประมาณ 18:00 น. มันจะเริ่มมืดแล้ว และอาจจะน่ากลัวสำหรับผู้หญิงที่เดินทางคนเดียวในเมืองต่างจังหวัดแบบนี้ เลยจองรถตู้ Airport Transfer ของ Helios Transfer ไป โดยรถตู้ไปส่งถึงหน้าที่พักเลย แต่พอเอาเข้าจริง เช่นเดียวกับที่เล่าไปแล้วในพาร์ทอิสตันบูล ที่นี่สว่างนานกว่าที่ไทย พระอาทิตย์ตกดินตอนสองทุ่มกว่า
และจริง ๆ เราไม่ได้จองรถตู้ Airport Transfer แบบโดยสารไพรเวท เราจองแบบปกติ ค่ารถขาละ €10 (ประมาณ 370-380 บาทไทย) แต่โชคดีที่เที่ยวรถของเรามีผู้โดยสารแค่ 2 คน คือเรากับนักท่องเที่ยวอีกคนหนึ่ง และเราก็โชคดีอีกที่คนขับชวนไปนั่งเบาะหน้าข้างคนขับ ทำให้ได้ดูวิวระหว่างทางแบบเต็ม ๆ
เราพักที่ Ada Cave Suites Hotel และเลือกห้องประเภท Superior Stone Suite ค่าที่พัก 3 คืน รวมบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าสไตล์ traditional Turkish breakfast ทุกวัน เราจ่ายไป € 320.19 คิดเป็นเงินไทยเท่ากับ 12,343.37 บาท รวม 8 % VAT และ 2 % government tax (ค่าที่พักขึ้นอยู่กับโรงแรม ห้องที่เลือกพัก และซีซัน) โดยจองผ่าน Booking.com เป็นโรงแรมที่อยู่ใกล้โซนร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านสะดวกซื้อ และสถานีตำรวจมาก ๆ ทำให้เรารู้สึกสะดวกสบายและค่อนข้างปลอดภัย แถมยังไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวอีกด้วย
ที่ Cappadocia มีโรงแรมมากมายที่ดีไซน์เป็นลักษณะถ้ำ หรือ Cave Hotels แต่เราตัดสินใจเลือกพักที่ Ada Cave Suites Hotel เพราะรูปห้อง Superior Stone Suite ห้องนี้ที่เราได้พักนี่แหละที่ดึงดูดเรามากที่สุด สรุปคือ เราได้พักโรงแรมที่มี cave-theme rooms แต่เลือกพักห้องที่ไม่เป็นถ้ำ อีกเหตุผลก็คือ ห้อง Superior Stone Suite มีหน้าต่างรับแสงอาทิตย์ สามารถดูวิวเมืองและวิวบอลลูนจากหน้าต่างห้องได้อย่างเป็นส่วนตัวนั่นเอง (วิถี introvert ไม่อยากไปดูวิวบนดาดฟ้าโรงแรมหรือห้องอาหารร่วมกับผู้อื่น)
หลังจากเช็คอิน ขนของเข้าห้องพัก อาบน้ำ เปลี่ยนชุด และพักผ่อนสักครู่แล้ว ประมาณสามทุ่ม เราก็เดินออกไปหาข้าวเย็นทาน ซึ่งบรรยากาศยามพลบค่ำที่คัปปาโดเกียค่อนข้างสงบ (แต่ก็ไม่ถึงกับเปลี่ยว) ต่างจากที่อิสตันบูลที่ดูเป็นเมืองที่คึกคักแทบตลอดเวลา
เราเลือกทานที่ร้าน Dibek เป็นร้านอาหารฟีลถ้ำ เราสั่ง Pottery Kebab ซึ่งเป็นอาหารท้องถิ่นที่ต้องลองเมื่อมาเยือนที่นี่ (ปกติเคบับแท้ ๆ ที่ตุรกีก็หน้าตาแตกต่างจากเคบับที่คนไทยรู้จักอยู่แล้ว และเคบับแบบหม้อนี้มันพิเศษได้อีก) ร้านให้เครื่องเคียงเยอะมาก จริง ๆ ก็อยากนั่งนาน ๆ เพราะมื้อนี้เราก็จ่ายไป 540 TRY (ประมาณ 970 บาท) และบรรยากาศร้านก็เหมาะกับนั่งดริ้งค์ชิลล์ ๆ ยาว ๆ ด้วย แต่ติดที่เราต้องรีบกลับไปนอน เพราะพรุ่งนี้เราต้องตื่นเช้ามาก ๆ เพื่อไปขึ้น Hot-Air Balloon
เราตัดสินใจกดจอง Hot-Air Balloon ผ่านแอพฯ TripAdvisor ณ ขณะกำลังก้าวเข้า gate ที่สนามบินอิสตันบูลมุ่งหน้าสู่คัปปาโดเกีย เพราะสุดท้ายเรามองว่า ไหน ๆ ก็อุตว่าห์บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเป็นสิบกว่าชั่วโมงแล้ว และมันคือ once-in-a-lifetime opportunity และ Hot-Air Balloon มันก็เหมือนความฝันของหลาย ๆ คน แล้วตอนนั้นความฝันนี้มันก็อยู่ห่างไปแค่ไม่กี่ก้าว แค่ปลายนิ้วเดียวเท่านั้น เราเลยกำจัดความกลัวเรื่องการไปคนเดียวออกไป ส่วนเรื่องเงิน เราก็คิดว่า เงินทองเป็นของนอกกาย ไม่ตายหาใหม่ได้ ที่สำคัญ ประสบการณ์มีมูลค่ามากกว่ามาก ๆ
เราตัดสินใจในแทบจะนาทีสุดท้าย แต่ยังโชคดีที่ได้ที่สุดท้ายของไฟล์ทบอลลูนรอบเช้าวันถัดไปพอดี (ตีห้า) เราเลือกจองทัวร์ของ @discoveryballoons สนนราคาหัวละประมาณ 8,800 – 8,900 บาท รวม flight certificate ของว่าง แชมเปญ และรถตู้ Mercedes รับส่งถึงหน้าที่พัก ซึ่งอาจไม่ใช่เจ้าที่ถูกที่สุด แต่ก็ไม่ได้ราคาสูงกว่าเจ้าอื่น ๆ มากนักเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับ (ราคาอาจแตกต่างออกไปอีก ขึ้นอยู่กับฤดูกาล วัน และระยะเวลาในการจอง)
เราต้องตื่นตั้งแต่ตีสามครึ่ง เพราะรถตู้จะมารับที่หน้าที่พักตอนตีสี่ อุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาฯ แต่มันคุ้มค่ากับเงินและเวลาที่จ่ายไปมาก ๆ เพราะ Panoramic morning view ที่ได้ชม valleys and rock formations เบื้องล่าง และบอลลูนนับร้อยบนท้องฟ้าในยามเช้า จากบนบอลลูนนี้ มันสวยงามเกินบรรยาย ถ่ายรูปและวิดีโอจาก iPhone ยังไงก็สวยได้ไม่ถึงครึ่งของภาพที่เห็นด้วยตา ความรู้สึกสงบและเหมือนฝันเป็นจริง แล้วมันดีกว่าที่คิดที่ฝันเอาไว้มาก ราวกับอยู่ใน fairy tales และ landscape ของที่นี่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะมาก เป็นที่ที่ธรรมชาติและประวัติศาสตร์บรรจบกันอย่างงดงาม
ตอนลงมาถึงพื้นอีกครั้ง ใจฟูมาก กับความรู้สึกว่า “I did it! So glad I did it! I have ticked off riding a hot-air balloon from my bucket list!” ส่วนเอเจนซี่ก็มีความโปรเฟสชันนัล ผู้ร่วมทริปคนอื่นก็น่ารักมาก และเราก็ไม่ใช่คนเดียวที่มาคนเดียว ทำให้ความกลัวเรื่องมาคนเดียวและความกลัวความสูงหายไปประมาณหนึ่ง สิ่งที่เราลังเลว่าจะมาหรือไม่มา สิ่งที่เราเกือบพลาดไป กลับกลายเป็นหนึ่งในไฮไลท์และความทรงจำที่ดีที่สุดของทริปตุรกีนี้ของเราเลย
หลังจากรถตู้ของเอเจนซี่พามาส่งกลับที่พัก เราพักผ่อนอีกงีบหนึ่งแล้วก็ออกไปทานอาหารเช้าของโรงแรม ซึ่งเต็มไปด้วย traditional turkish breakfast และบรรยากาศ homey เหมือนทานที่ครัวที่บ้าน แต่มีหน้าต่างรับแสงแดดยามเช้าและชมวิวสวย ๆ
หลังทานอาหารเช้าเสร็จ เราก็กลับมาชาร์จแบตตัวเองอีกรอบ ก่อนจะออกไปอีกในช่วงสาย โดยเรามุ่งหน้าเดินไป Göreme Open Air Museum (ค่าเข้า 300 TRY หรือ 537 บาท) ซึ่งจริง ๆ เราก็เสียดายอยู่เบา ๆ ที่ไม่ซื้อแพ็กเกจ Red Tour หรือ Green Tour ที่จะมีไกด์พาไปเที่ยวหุบเขาและสถานที่ต่าง ๆ ละแวกนั้นอีก
แต่ตอนนั้นเรามันอยู่ในฟีลลิ่ง Introvert ขี้เหนื่อย ที่ผจญกับผู้คนมากมายมาหลายวันตลอดทริปแล้ว ตอนนั้นเราไม่อยากไปอยู่ในทัวร์เพื่อคุยหรือเจอใครใหม่อีกแล้ว ฟีลลิ่งอยากอยู่คนเดียว ก็เลยต้องเสียโอกาสบางอย่างไป นั่นแหละ แต่เราก็ไปใช้เวลาอยู่กับตัวเองกับการ café and restaurant hopping เก็บลิสต์อาหารตุรกีที่เหลือ และเลือกดูของฝาก ก็เป็นประสบการณ์ไปอีกแบบ
ชีวิตที่นี่ค่อนข้างสโลว์ไลฟ์ดี สงบและชิลล์ดี เหมาะกับการพักผ่อนหย่อนใจ ต่างกับอิสตันบูลที่มีความเมือง ความคึกคัก ความวุ่นวาย และความรีบเร่งเหมือนกรุงเทพฯ เราชอบที่นี่นะ แต่ถ้ามาอีกครั้งหน้า เราก็อยากพาคนอื่นหรือคนที่เรารักมาด้วย เพราะบางมุมเราก็คิดว่า ที่นี่เป็นสถานที่ที่มีความโรแมนติกเกินกว่าจะมาใช้เวลาดี ๆ ที่นี่แบบนี้คนเดียว