เราดู Unbroken มานานแล้ว แต่ไม่มีเวลาและไม่มีแรงจะเขียนรีวิว พอถึงวันที่พอจะมีเวลาและแรงเขียนรีวิวให้ Unbroken เราก็แทบลืมเรื่องราว ความรู้สึก และสิ่งที่ตกผลึกจากหนังเรื่องนี้ไปแทบหมดสิ้น OTL แต่เราจะพยายามเขียน Unbroken ให้จบจนเป็นบล็อกเช่นเดียวกับหนังเรื่องอื่นๆ ที่เราเขียนให้ได้ เพราะเป็นความตั้งใจแต่แรกเริ่มของเราแล้วว่าเราจะทำบล็อกเพื่อเป็น Movie Journals ของตัวเอง
ว่ากันด้วยชื่อหนัง Unbroken หรือภาพโปสเตอร์ที่โชว์นักแสดงนำอย่าง Jack O’Connell หราแล้ว คนก็อาจจะยังไม่รู้จักมักคุ้นกันสักเท่าไหร่ แต่ถ้าพูดว่าเป็นหนังสงครามโลกที่ซูเปอร์สตาร์ Angelina Jolie กำกับฯ หลายคนก็คงจะพอร้อง “อ๋อ” กันขึ้นมาบ้าง
จริงๆ แล้ว Unbroken ของขุ่นแม่โจลี่นี้ไม่ใช่หนังขี้ๆ เพราะสามารถเข้าชิง OSCARS 2015 ถึง 3 สาขา ดังนี้
- Best sound mixing
- Best sound editing
- Best cinematography
เรื่องย่อ Unbroken
Unbroken เป็นหนังอัตชีวประวัติของอดีตแชมป์กีฬาโอลิมปิก Louis Zamperini (Jack O’Connell จาก 300: Rise of an Empire) โดยเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่สมัยที่เขายังเด็กในเมืองนิวยอร์ก (ครอบครัวเขาย้ายมาจากอิตาลี) และ Pete พี่ชายของเขา (Alex Russell จาก Chronicle) พาเขาเข้าไปอยู่ในวงการนักวิ่งระดับชาติ สลับกับฉากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เขาไปเป็นทหารร่วมรบอยู่กับ US Air Force และวันหนึ่งเครื่องบินของเขาก็ตกลงกลางมหาสมุทรแปซิฟิก มีทหารเพียง 3 นายที่รอดชีวิตลอยคอกลางทะเล ได้แก่ ตัวเขาเอง, เพื่อนรักของเขา Russell ‘Phil’ Phillips (Domhnall Gleeson จาก Harry Potter และ About Time), และ Mac เด็กใหม่ของทีม (Finn Wittrock จาก Noah)
พวกเขาลอยคอและพยายามเอาตัวรอดท่ามกลางฝูงฉลามและเครื่องบินลาดตระเวนของฝ่าย Axis อยู่เป็นเวลา 47 วัน ก่อนที่จะถูกทหารญี่ปุ่นจับไปเป็นเชลยในค่ายกักกัน POW ซึ่งในค่ายนั้น ทหารอเมริกันทุกนายถูกทรมานและใช้แรงงานเยี่ยงทาส โดยมีนายทหารใหญ่ Mutsushiro Watanabe หรือ “The Bird” (Takamasa Ishihara ร็อกสตาร์จากแดนปลาดิบ) เป็นผู้บัญชาการของค่าย
“A moment of pain is worth a lifetime of glory”
รีวิว วิจารณ์ Unbroken
เนื่องจากเป็นรีวิวที่เราดองไว้ เราจึงขออนุญาตรีวิวย่อๆ โดยสรุปเท่าที่เราพอจำได้
Unbroken เป็นหนังชีวประวัติอิงจากเรื่องจริงที่เล่าเรื่อยๆ พล็อตเรื่องธรรมดา ไม่มีการดัดแปลง หรือเพิ่มลูกเล่นอะไรใหม่มาก ส่วนสงครามก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวาอย่าง The Imitation Game หรือ The American Sniper (แต่แอบมีประเด็น Propaganda War นิดหน่อยที่น่าสนใจ) ฉากการเอาตัวรอดกลางทะเลก็ไม่ได้มีอะไรน่าค้นหาหรือน่าตื่นเต้นมากมาย เพราะเราก็คงดูหนังแนว survival แบบนี้มาแล้วหลายต่อหลายเรื่อง เช่น Cast Away และ Life of Pi
ดังนั้น เราจึงไม่ค่อยมีอะไรประทับใจหรือจดจำอะไรได้มากนักกับหนังเรื่องนี้ แต่โดยรวมหนังไม่ได้แย่ ถ้าคนที่ยังไม่ค่อยได้สัมผัสหนังสงครามหรือหนังลอยทะเลมาเท่าไหร่ ก็น่าจะดูสนุกอยู่บ้าง
สิ่งที่เราชอบที่สุดของหนังเรื่องนี้คือ ภาพ มุมกล้อง และความสมจริงของฉากสงคราม เขาถ่ายสวย องค์ประกอบดี และดูแกรนด์ ทำให้เรายังคงมีอารมณ์ร่วมกับหนังได้จนถึงตอนจบ ถึงแม้การเล่าเรื่องจะเนิบแค่ไหนก็ตาม (7/10)
อ่านเพิ่มเติม: เปรียบเทียบเรื่องจริงของLouis Zamperini กับในหนังของ Unbroken - http://www.historyvshollywood.com/reelfaces/unbroken/
109 comments