เราเชื่อว่า ถ้าใครชื่นชอบ Get Out หนังนอกกระแสที่ประสบความสำเร็จทั้งในแง่รายได้ คำวิจารณ์ และรางวัลเวทีต่าง ๆ เมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา ก็คงตั้งหน้าตั้งตารอ Us เหมือนกับเรา เพราะ Us เป็นผลงานการกำกับของ Jordan Peele เรื่องที่สองต่อจาก Get Out
เนื้อเรื่องของ Get Out กับ Us ไม่เกี่ยวกัน ไม่ได้เป็นภาคต่อของกันและกัน (ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องเคยดู Get Out มาก่อน ก็ enjoy กับเรื่องนี้ได้) แต่สิ่งที่เหมือนกันคือเป็นหนังจิกกัดเสียดสีประเทศอเมริกา แสดงนำโดยนักแสดงผิวสีเชื้อสายแอฟริกัน และเล่าไปในโทนของหนังสยองขวัญและทริลเลอร์ ซึ่งองค์ประกอบต่าง ๆ ทั้งการกำกับ ซาวนด์และสกอร์ จนถึงนักแสดงทุกคน ถือว่าทำได้ดีกันทุกคน โดยเฉพาะการแสดงของ Lupita Nyong’o ที่ชวนขนลุก
องก์แรกของ Us ถ้าไม่นับช่วงที่แฟลชแบ็คไปตอนที่ตัวเอกยังเด็ก โดยรวมหนังยังโทนเหมือนหนังครอบครัวทั่วไป เหมือนแค่แนะนำตัวละครและสถานที่ (บ้านพักตากอากาศและริมหาดซานตาครูซ) ให้รู้จักกับครอบครัวของ Adelaide (Lupita Nyong’o จาก 12 Years a Slave และ Black Panther) อันประกอบไปด้วยสามี Gabe (Winston Duke จาก Black Panther), ลูกสาวคนโต Zora (Shahadi Wright Joseph จาก The Lion King) และลูกชายคนเล็ก Jason (Evan Alex) คือช่วงแรกเหมือนยังแค่วอร์มเครื่อง คนดูก็อย่าเพิ่งเบื่อหรือใจร้อนเกินไปนัก เพราะดีเทลต่าง ๆ ในช่วงองก์นี้จะสัมพันธ์กับซีนอื่น ๆ ที่ตามมาในหนัง
ช่วงตกดึกเข้าสู่องก์ที่สอง เป็นช่วงที่สนุกที่สุดของหนัง เพราะเป็นสไตล์หนังคนถูกบุกบ้าน เจ้าบ้านต้องหาทางเอาตัวรอด เป็นช่วงแห่งความหลอนและการไล่ล่า มีการต่อสู้ไล่ฆ่ากันชนิดที่โหดยิ่งกว่า Get Out โดยเริ่มตั้งแต่มีครอบครัวชุดแดงที่หน้าเหมือนครอบครัวตัวละครหลักเด๊ะ ๆ อย่างกับพิมพ์เดียวกัน แต่ทว่าชื่อและนิสัยใจคอไม่เหมือนกัน พวกเสื้อแดงนั้นมาเพื่อทำร้ายและฆ่าโดยเฉพาะ แม้แต่บ้านของเพื่อนบ้านอย่าง Kitty (Elisabeth Moss จาก The Handmaid’s Tale) และ Josh (Tim Heidecker) และลูกสาวฝาแฝด ซึ่งเป็นตระกูลคนขาวล่ำซำ ก็มิวายเจอไล่ล่าด้วยเหมือนกัน
องก์ที่สามเป็นช่วงเช้าวันใหม่ ที่การไล่ล่ายังคงไม่จบไม่สิ้น และ Adelaide จำเป็นต้องกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด เพื่อที่จะยุติเรื่องนี้ และพาครอบครัวหนีออกจากที่นี่ไปยังที่อื่นอย่างปลอดภัย ซึ่งในองก์นี้จะมีจุดหักมุมและ metaphor มากมายตามสไตล์ของผู้กำกับและผู้เขียนบทคนนี้ แต่โดยส่วนตัวคิดว่า เรื่องนี้เขาจินตนาการหลุด ๆ ไปหน่อย ดูทะเยอทะยานมากขึ้น และบท surreal เกินไป จนไม่ค่อย convincing มันจึงออกมางง ๆ มีคำถามถึงที่มาและเหตุผล สุดท้ายคือรู้สึกว่ามันไม่ว้าวเท่า Get Out
ในส่วนของการตีความ ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับตัวบุคคลจะคิดเลย หนังเองก็มี message เยอะมาก เยอะและยาวกว่า Get Out ถ้าให้เราอธิบายก็คงอธิบายไม่ได้ เพราะก็ไม่ได้เข้าใจ 100% มีข้อสงสัยหลายประการเหมือนกัน และที่สำคัญ ขืนพูดมาก ก็จะเป็นการสปอยล์หนังเอาซะหมด แต่มันก็พอมีคอนเซ็ปต์กว้าง ๆ ที่เราพอจะเข้าใจ และสามารถพอจะอธิบายได้บ้างโดยที่ไม่เปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญของหนังจนเกินไป
อย่างแรกเลยคือหนังเสียดสีอเมริกาแน่นอน ตั้งแต่ชื่อหนัง “Us” ที่ล้อกับชื่อย่อของประเทศอเมริกา “U.S. หรือ US” และการที่ตัวละครโรคจิตที่หน้าเหมือนแฝดตัวละครหลักในเรื่องพูดว่า “We’re Americans.”
โดยในหนังจะมี reference เยอะมาก มี pop culture ของอเมริกาอยู่ในหนังเยอะมาก เช่น เสื้อยืดสกรีนโปสเตอร์หนัง Jaws ของ Steven Spielberg, หนัง Home Alone ของ Chris Columbus, เพลง Fuck Tha Police ของแบนด์ฮิพฮอพผิวสี N.W.A, ฯลฯ และก็มีแคมเปญของอเมริกาที่เราเกิดไม่ทัน (ปี 1986 ซึ่งเป็นปีที่นางเอกในเรื่องเจอแฝดของตัวเองครั้งแรก) ชื่อ Hands Across America (อ้างอิงจาก Wikipedia เขาว่าเป็นแคมเปญที่ให้คนกว่า 6.5 ล้านคนมาจับมือกันเหมือนสามัคคีชุมนุมต่อยาวข้ามเมืองข้ามประเทศเป็นเวลา 15 นาที โดยคนที่จะมายืนเป็นส่วนหนึ่งสายโซ่มนุษย์นี้จะร่วมบริจาคประมาณคนละ $10 เพื่อไปบริจาคให้คนยากไร้ แต่เหมือนจะตั้งเป้าไว้ $100 ล้าน แล้วได้มาแค่ $34 ล้าน และหักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือแค่ $15 ล้าน)
สิ่งที่ปรากฏในหนังอย่างชัดเจนอีกอย่างคือเลข 11:11 ตั้งแต่ฉากที่ชายคนหนึ่งถือป้าย Jeremiah 11:11 ซึ่งเป็นท่อนหนึ่งของคัมภัร์ไบเบิ้ล เขียนว่า “Behold, I will bring evil upon them, which they shall not be able to escape; and though they shall cry unto me, I will not hearken unto them.” และเวลาตอนที่ครอบครัวเสื้อแดงมายืนหน้าบ้านของตัวละครหลักคือ 11:11 pm แม้แต่กรงกระต่ายตอนเครดิตเปิดเรื่อง ก็มีคนนับได้ว่ามีแถวละ 11 กรง ซึ่งตัวเลข 11 นี้ ก็มีนัยยะแฝงถึงธีม Duality ของหนัง คล้ายกับการที่ตัวละครแต่ละตัวจะมีแฝดกันคนละตัวด้วยนั่นเอง
กระต่ายเองก็เป็นสิ่งหนึ่งที่น่าสงสัยว่าจะมีนัยยะสำคัญอะไรหรือเปล่า เพราะเด่นมาตั้งแต่ตอนเครดิตเปิดเรื่องขึ้น (ซึ่งส่วนใหญ่่เป็นสีขาว น้อยตัวเป็นสีดำกับน้ำตาล) ในเชิงสัญลักษณ์แล้ว กระต่าย refer ได้ถึงหลาย ๆ อย่าง เช่น Family, Fear, Fertility, Rebirth ฯลฯ
ที่เห็นได้ชัดคือ หนังสะท้อนเรื่องชนชั้น ระหว่าง Americans ที่เป็นอเมริกันแท้ ๆ กับประชากรที่เป็น immigrants ในอเมริกาที่มีชีวิตแตกต่างกันทั้งที่อาศัยอยู่ในประเทศเดียวกัน เพราะจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ครอบครัวตัวละครหลัก (บ้านของ Lupita Nyong’o) จะเป็นครอบครัวคนผิวสีที่ดูมีฐานะความเป็นอยู่ดีในระดับหนึ่ง แต่ก็จะมีตัวละครอีกครอบครัวหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านคนขาวผมบลอนด์แท้ ๆ แบบมะกันเลย ที่มีชีวิตดีขั้นหรูหราหมาเห่าไปเลย ทำให้ Gabe (Winston Duke) แอบอิจฉาและพยายามแข่งขันความรวยกับบ้านนั้นอยู่ตลอด
นอกจากนี้ ชีวิตของแฝด ซึ่งอุปมาได้ว่าเป็นคนชั้นล่าง จะค่อนข้างรันทดกว่าตัวหลักตัวจริง ซึ่งอุปมาได้ว่าเป็นคนชนชั้นบน ถึงแม้แฝดจะได้กินอยู่หลับนอนเหมือน ๆ กับตัวหลัก แต่มันก็ไม่ได้มีชีวิตที่เหมือนกันซะทีเดียว เช่น คนหลักอย่างพวกเราสามารถกินอะไรก็ได้ แต่อีกคนไม่มีทางเลือกในการกิน พูดง่าย ๆ คือ คนกลุ่มล่างไม่มีชีวิตที่ดี ไม่มี privilege และ living standard เท่ากับคนกลุ่มหลัก
แฝดในเรื่องอาจจะเปรียบเสมือนเงาสะท้อนด้านมืดหรืออีกด้านหนึ่งของคนแต่ละคน หรืออาจจะหมายถึงชีวิตของคนคนเดียวกัน แต่ได้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมและโอกาสชีวิตที่แตกต่างกัน ทำให้สุดท้ายคุณภาพชีวิตและความสุขของวิญญาณออกมาแตกต่างกัน ดังนั้น ถ้าถามว่า แฝด ซึ่งเป็นคนกลุ่มล่าง อยากฆ่าคนกลุ่มหลักทำไม… คำตอบจริง ๆ มันอาจจะง่ายแค่ว่า… ต้องการใช้ชีวิต มีสิทธิมีเสียงเยี่ยงพลเมืองปกติ และใช้ทรัพยากรบนผืนแผ่นดินนี้เช่นกัน… (ทั้งนี้เรายังไม่พูดถึง เรื่องที่ว่าชาว modern Americans ก็ไปรุกล้ำและยึดประเทศมาจาก native Americans หรือชาวอินเดียแดง นั่นอีกเรื่องหนึ่ง)
โดยรวม ถึงแม้หนังจะไม่เฉียบคมเท่า Get Out รวมทั้งมีหลายจุดที่ไม่สมเหตุสมผลและเราเข้าไม่ถึง แต่ถ้าไม่เอาไปเปรียบกับเรื่องก่อนหน้า และไม่คิดอะไรมาก สำหรับเราแล้ว หนังเรื่อง Us ก็เป็นหนังสยองขวัญ/ทริลเลอร์ที่น่าสนใจ น่ากลัว และก็สนุกกว่ามาตรฐานทั่วไปอยู่ดีแหละ
คะแนนตามความชอบส่วนตัว 8/10
43 comments
Comments are closed.